MG5 เป็นรถยนต์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม B-Segment ทั้งในด้านราคาจำหน่าย และขนาดของเครื่องยนต์ เพียงแต่มีขนาดใกล้เคียงกับรถยนต์ในกลุ่ม C-Segment หรือคอมแพคคาร์ อย่าง Altis, Civic, Mazda3 เป็นต้น การวางตำแหน่งตลาดของ MG5 แบบนี้ นั้นแสดงให้เห็นว่า เอ็มจีต้องการขายความคุ้มค่า รวมไปถึงสมรรถนะโดยรวมของ MG5 ที่ว่ามาทั้งหมด ผมต้องการให้ผู้อ่านทุกท่านได้เข้าใจก่อนว่า MG5 เป็นรถยนต์ B-segment ในกลุ่มเดียวกับ Vios,City ซึ่งจะไปรวมกับ Mazda2 ก็ยังไงอยู่ เพราะ Mazda2 กลายเป็น อีโคคาร์เฟส 2 ไปแล้ว ผมเปิดทางมาแบบนี้ ผมขอไปว่ากันที่ MG5 เลยแล้วกันครับ
[taq_review]
MG5 นั้นเป็นรถยนต์ที่มีการออกแบบภายใต้แนวคิดเดียวกันกับรถยนต์รุ่นอื่นๆของเอ็มจีที่ทำตลาดในบ้านเราทั้ง MG6 และMG3 แนวทางการออกแบบที่ว่านี้ เรียกว่า บริท ไดนามิก คือการออกแบบเส้นสายทั้งภายใน และภายนอกของตัวรถให้กลมกลืน ไม่ซับซ้อน มีความเป็นรถในสไตล์อังกฤษ สวยไม่สวยก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน แต่ส่วนตัว ผมมองเห็นคลาสของการออกแบบ ที่ทำให้รถยนต์ MG ดูไม่น่าเบื่อ เวลาที่มองนานๆครับ
ด้านหน้าของ MG5 ได้รับแรงบันดาลใจในการออกฝากระโปรงรถมาจากธงยูเนียนแจ๊ค หรือธงสหราชอาณาจักร โดยมีเส้นสามเหลี่ยมตัว V ที่มองเห็นชัดเจน ลากยาวมาบรรจบกันที่โลโก้ MG ตรงกระจังหน้า MG5 ติดตั้งอุปกรณ์ภายนอก เริ่มที่ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์เลนส์ โดยโคมมีการออกแบบให้ดูสะดุดตา ลักษณะดุดันมีพลังเหมือนตาเหยี่ยว ด้านล่างเป็นไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED
ด้านข้างของ MG5 มีการออกแบบที่เรียบง่าย สบายตา หลังคาลาดเอียงสโลปลงมายังด้านท้ายสไตล์รถคูเป้ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ล้อแม็ก 5 ก้าน ขนาด 17 นิ้ว แต่หากเป็นรุ่นเริ่มต้น จะเป็นล้อขนาด 15 นิ้ว
ท้ายรถนั้น ถูกออกแบบให้มีเอกลักษณ์ที่จดจำง่าย ด้วยแนวไฟท้ายที่ลากยาวโอบบันท้ายทั้งหมดเอาไว้ ทำให้ดูกระชับ โดยแนวไฟท้ายนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคบเพลิงโอลิมปิก ซึ่งก็เป็นความโดดเด่นเฉพาะตัวของ MG5 ครับ ความแตกต่างระหว่างรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร กับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ในส่วนภายนอก ก็อยู่ตรง ด้านท้ายนี่แหละครับ ในตำแหน่งมุมขวาของฝาปิดท้ายจะมีเพจตัวหนังสือว่า MG5 Turbo แต่ถ้าเป็นรุ่นเครื่องยนต์ปกติจะเป็นตัวหนังสือ MG5 VCT
ภายในห้องโดยสาร ใช้โทนสีดำเพื่อความสปอร์ต อุปกรณ์ต่างๆ ถูกจัดว่างให้อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานง่าย มองเห็นเด่นชัด แต่ก็ต้องบอกกันตรงๆว่า การออกแบบแผงคอนโซล ยังดูไม่ทันสมัยมากเท่าไหร่ วัสดุภายในให้ความแข็งแรงดี แต่การเลือกลายพื้นผิววัสดุ ยังทำได้ไม่ดีเท่ากับรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น เพราะเรียบง่ายเกินไป แต่อุปกรณ์ที่ให้มา ก็จัดว่าครบครัน ไม่ว่าจะเป็น จอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบนำทาง Navigation พร้อมแสดงผลจากกล้องมองหลัง ระบบปรับอากาศใช้งานง่าย แม้ว่าจะไม่ได้เป็นระบบอัตโนมัติก็ตาม พวงมาลัยหุ้มหนังแบบมัลติฟังก์ชั่นมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ในส่วนของคันเกียร์อัตโนมัติ ก็ออกแบบได้ทันสมัย ใช้งานได้กระชับมือ
MG5 ติดตั้งระบบการเชื่อมต่อ inkaNet เทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่ และรถยนต์ เอ็มจี ที่ทำงานบนเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สาย inkaNet ประกอบด้วย 7 ฟังก์ชั่นหลัก ได้แก่ ฟังก์ชั่นแจ้งเตือนความผิดปกติ เมื่อมีการเคลื่อนหรือสตาร์ทรถยนต์ ฟังก์ชั่นระบบนำทาง ผ่านทาง Google Map และช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามตำแหน่งของรถ และข้อมูลสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ ฟังก์ชั่นระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยกำหนดขอบเขตรัศมีการขับรถยนต์ ฟังก์ชั่นแสดงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในการขับรถ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยทั้งแบบรายสัปดาห์และแบบรายเดือน ฟังก์ชั่นระบบเลขาฯ ส่วนตัว ให้คุณติดต่อ MG CALL CENTRE และฟังก์ชั่นวางแผนการเดินทาง พิเศษสำหรับลูกค้า NEW MG5 จะได้รับสิทธิพิเศษสามารถเชื่อมต่อระบบ inkaNet ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือฟรี นาน 5 ปี
MG5 มีเบาะนั่งให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ทั้งสีดำ และสีเบจ เฉพาะรุ่น 1.5L X และรุ่น Turbo 1.5L X ใช้งานในการเดินทางได้ดี และสามารถปรับดันหลังได้ เบาะนั่งขนาดใหญ่รองรับได้ทุกสรีระ ไม่นุ่มไม่แข็งจนเกินไป ขับทางไกล 100-200 กิโลเมตรได้โดยที่ไม่เกิดอาการเมื่อยล้ามากนัก เสียตรงที่การปรับเบาะ เป็นแบบมือหมุน ค่อนข้างฝืด หมุนยากไปหน่อย อาจจะเป็นเพราะเบาะที่หนา บวกกับการปรับเบาะเวลาตัวผมเองนั่งอยู่ด้วย
เบาะนั่งด้านหลังพร้อมที่พักแขน และวางแก้วได้ 2 แก้ว ตำแหน่งวางแขนก็เหมาะสม ไม่ต้องทิ้งไหล่ลงไปวาง ถามว่านั่งสบายหรือไม่ ผมว่าใช้ได้เลยนะ ตัวเบาะใหญ่ พนักพิงอาจจะไม่ได้ลาดเอียงมาก แต่ถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่ดี ให้หมอนรองศรีษะแบบติดกับพนักพิงมาเลยก็จริง แต่ถือว่าใช้งานได้ดี ตรงนี้ผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ขนาดร่างกายของแต่ละคนด้วยหรือไม่นะครับ
พื้นที่วางเท้าก้าวขา ก็ไม่ต้องเป็นกังวล บอกเลยว่าเหลือๆ ครับ คุณจะชันเข่าเท้าเหยียดอย่างไร ตามแต่ใจคุณ หรือต่อให้แถวหน้าเอนเบาะหลังมา คนนั่งตอนหลังก็ยังชิลล์ๆ ที่ชอบอีกจุด ก็ตำแหน่งไฟ 12 โวลต์ ด้านหลัง จะได้ไม่ต้องไปเสียบชาร์ตแบตไกล แย่งกับผู้โดยสารตอนหน้า ยุคนี้ ยุคโซเชียล แบตหมด ก็ขาดใจครับ ที่สำคัญในรุ่น 1.5L X และรุ่น Turbo 1.5L มีหลังคา sunroof มาให้ด้วยนะครับ เป็น 1 เดียวในกลุ่มรถยนต์บี-คาร์
MG5 ทำตลาด 2 เครื่องยนต์ คือ เครื่องยนต์ธรรมดา 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว 106 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 129 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์ 2,000-4,400 รอบต่อนาที
แต่ว่า…พวงมาลัยเซ็ตมาให้มีระยะฟรีมากไปสักหน่อย ในย่านความเร็วสูง น้ำหนักที่หน่วงไม่สร้างความมั่นใจ ทำให้ต้องใช้สมาธิในการขับแบบตั้งใจพอสมควร แม้ว่าช่วงล่างจะโอเคก็ตาม
การขับขี่นั่น ว่ากันที่เครื่องยนต์ธรรมดาก่อนแล้วกันครับ เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร นั่นจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมกับโหมดสปอร์ต ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เองเมื่อต้องการอัตราเร่งที่ทันใจมากขึ้น เมื่อเที่ยบกับผู้นำตลาดอย่าง โตโยต้า วีออส ก็ต้องบอกว่า MG5 เป็นรถเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่ขับสนุกกว่า อัตราเร่งมีอาการรอรอบพอสมควร แต่ปลายไหลตลอด และกำลังไม่หายไป ถ้าแก้อาการรอรอบในแต่ละเกียร์ได้จะเป็นรถที่ขับสนุกมากๆ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าอาการรอรอบที่เกิดขึ้นเมื่อ kick down ลงไปแล้ว แท้จริงเกิดจากความสัมพันธ์ในการทำงานของเกียร์ กับเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว หรือเกี่ยวกับอัตราปรับตั้งคันเร่งไฟฟ้าด้วย ถ้าถามผม ผมว่าทั้งสองเหตุผลน่าจะมีส่วนทั้งคู่ครับ
สำหรับช่วงล่าง ไม่กระด้างครับ นุ่มนวล และให้ตัวอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เมื่อต้องใช้ความเร็ว ก็ต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ที่ช่วงล่างไว้ใจได้ครับ ด้วยขนาดตัวรถที่ใหญ่ และยาวกว่าคู่แข่ง ฐานล้อก็มากกว่า ทำให้รถนิ่งแม้อยู่ในย่านความเร็วสูง แต่บอกว่าช่วงล่างไว้ใจได้ก็จริง แต่ว่า…พวงมาลัยเซ็ตมาให้มีระยะฟรีมากไปสักหน่อย ในย่านความเร็วสูง น้ำหนักที่หน่วงไม่สร้างความมั่นใจ ทำให้ต้องใช้สมาธิในการขับแบบตั้งใจพอสมควร แม้ว่าช่วงล่างจะโอเคก็ตาม
มาที่รุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบกันบ้าง ในรุ่นนี้ไม่ได้มีความต่างกันเฉพาะเครื่องยนต์ และเกียร์เท่านั้น แต่ยังต่างกันในการเซ็ตค่า หรือระบบต่างๆในการขับขี่ ทั้งน้ำหนักพวงมาลัย ช่วงล่าง รวมถึงขนาดของจานเบรก แม้ว่าจะเป็นดิสก์เบรกหน้า-หลัง ในทุกรุ่น แต่ขนาดของจานเบรกในรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ กับรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาไม่เท่ากันนะครับ รุ่นเทอร์โบจะมีขนาดใหญ่กว่า ระยะเบรกสั้น ให้ความมั่นใจ ใครซื้อรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาไป ขับแรกๆ แนะนำว่าให้ทำความคุ้นเคยในการขับขี่กันก่อน
ฟีลลิ่งต่างๆ ที่ไม่ค่อยจะโดนใจในเครื่องยนต์ธรรมดา หายไปครับเมื่อได้มาขับรุ่นเทอร์โบ จานเบรกขนาดใหญ่ขึ้น ช่วงล่างที่มีความเฟิร์มมากกว่า พวงมาลัยที่น้ำหนักดีขึ้น และระยะเบรกที่ไว้ใจได้ ทำให้ MG5 เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร ให้ความมั่นใจ และความสนุกสนานในการขับขี่ที่มากกว่ารุ่นเครื่องยนต์ธรรมดา
MG5 เครื่องยนต์ เทอร์โบ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมโหมดสปอร์ต เมื่อเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ได้เทอร์โบมาช่วย ผมก็เห็นผลทันตา บวกกับเกียร์ที่ต่างจากในรุ่นเครื่องยนต์ปกติ 1.5 ลิตร อัตราเร่งดีขึ้น การตอบสนองของคันเร่งก็ทันใจกว่า พูดได้เลยว่า ต่างกันแบบเห็นผลชัดเจน
ด้านระบบความปลอดภัย ก็ต้องบอกว่า เอ็มจีจัดเต็มมาตั้งแต่ MG3 แล้วครับ เพราะฉะนั้น MG5 มาเต็มทุกรุ่นย่อยจริงๆ อาทิ ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS – Hill Start Assist System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (TCS – Traction Control System) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน (ABS – Anti-lock Braking System) พร้อมระบบช่วยกระจายแรงเบรก (EBD – Electronic Brake Force Distribution) ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน (MSR – Motor control Slide Retainer) ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC – Curve Brake Control) และ ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง (ITPMS – Indirect Tire Pressure Monitor System) นอกจากนี้ ยังมีระบบเสริมแรงเบรก (EBA – Electronic Brake Assist) และระบบควบคุมการทรงตัว (SCS – Stability Control System) มาเพียบเลยใช่ไหมละครับ
สรุปภาพรวมของ MG5 จัดได้ว่า เป็นรถยนต์ที่ให้ความคุ้มค่า กับราคาที่จ่ายไป ได้รถยนต์ B-Car ที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในคลาส นั่งสบาย เดินทางไกลสะดวก อ๊อฟชั่นจัดเต็มตั้งแต่ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ และไฟเดย์ไทม์แบบ LED กระทั่ง Sunroof ก็ยังมีมาให้ ด้านเครื่องยนต์ ถ้าเป็นคนสบายๆไม่ใจร้อน เครื่องยนต์ธรรมดา 1.5 ลิตร ก็เพียงพอครับ แต่ถ้าอย่างได้สมรรถนะการตอบสนองเครื่องยนต์ที่ดี อัตราเร่งที่ทันใจ เลือกเทอร์โบ 1.5 ไปเลย “ผมการันตีความสนุก” ที่สำคัญระบบความปลอดภัยที่หาไม่ได้ในรถยนต์ราคา 6-7 แสนบาท ที่ให้ลูกค้าได้มากขนาดนี้ ฉะนั่นถ้าคุณอย่างได้รถไว้ใช้งานจริงๆ ผมว่า MG5 เป็น 1 ในรถยนต์ที่ครบครันที่สุดใน พ.ศ.นี้
ด้านศูนย์บริการ และงานหลังการขาย มองดู เอ็มจีเองก็ให้ความสำคัญ ให้ความจริงใจกับลูกค้ามากๆเลยทีเดียว มีการจัดกิจกรรมเพื่อลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ใส่ใจในแคมเปญโปรโมชั่นตลอดทั้งปี และกำลังขยายศูนย์บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศให้เร็วที่สุด ทั้งหมดที่เอ็มจีทำอยู่ในตอนนี้ ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทย ในฐานะที่เป็นแบรนด์น้องใหม่ ที่หวังมีพื้นที่ยืนในตลาดรถยนต์เมืองไทยเพิ่มขึ้น