ยุคนี้สมัยนี้ อะไรที่ดูเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานทางเลือก ดูจะเป็นเทรนด์ของตลาด มากกว่าที่จะเป็นจุดประสงค์ของการประหยัดพลังงานจริงๆ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็เช่นกัน เพราะรถยนต์คันที่ driveautoblog.com จะนำมาเล่ารู้เรื่องกันในวันนี้คือ สปอร์ตคอมแพคแบรนด์หรูอย่าง Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic Plug-in Hybrid ที่พร้อมจะให้คนที่รักความแรง แต่มีหัวใจรักษ์โลกได้จับจองเป็นเจ้าของในปี 2016 นี้
[taq_review]
เมอร์เซเดส-เบนซ์ C 350 e เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นที่ 2 ในตระกูล C-Class ต่อจากรุ่น C 300 BlueTEC Hybrid จุดเด่นของระบบปลั๊กอิน ไฮบริด ก็อยู่ที่การมีปลั๊กชาร์ตไฟเข้าสู่แบตเตอรี่นี่แหละครับ โดย C 350 e นั้นใช้แบตเตอรี่ชนิด lithium-ion มีน้ำหนัก 100 กิโลกรับ ให้กำลังไฟที่ดี มีความจุ 6.38 กิโลวัตต์ ติดตั้งใต้เพลาขับด้านหลัง ระยะเวลาในการชาร์ตไฟให้เต็มอยู่ที่ 3 ชั่วโมง และสามารถขับด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียวๆ หรือ EV โหมด ได้ถึง 33 กิโลเมตรครับ
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกนั้น แทบจะไม่มีความแตกต่างไปจาก C 350 ในรุ่นปกติเลย ยังคงความโฉบเฉี่ยวของเส้นสายการออกแบบ กระจังหน้า พร้อมโลโก้ดาว 3 แฉกขนาดใหญ่ พร้อมฟังก์ชั่น AIRPANEL ที่สามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ เพื่อช่วยในเรื่องของแรงเสียดทานอากาศ ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System จุดที่แตกต่างจาก C 350 จริงๆ ก็คงจะเป็นล้อแม็กขนาด 19 นิ้ว 14 ก้าน พร้อมยาง Run-flat
ด้านท้าย ให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ต มีเส้นสายที่โค้งมน สะดุดตาที่ท่อไอเสียแบบบิวท์อินเข้ากับกันชนท้าย พร้อมเซ็นเซอร์ช่วยจอด ไฟท้ายแบบ LED เสริมความปลอดภัยด้วยไฟเบรค LED ดวงที่สามบริเวณขอบกระจกหลัง และที่มุมด้านขวาจะเป็นตำแหน่งของปลั๊กชาร์ตไฟครับผม
ภายในเน้นความหรูหรา รุ่น AMG จะเน้นสีดำ ให้อารมณ์สปอร์ต แผงคอนโซลกลางที่สร้างเป็นชิ้นเดียวกับพนักวางแขนซึ่งถูก ออกแบบอย่างทันสมัย พร้อมด้วย touchpad ที่ติดตั้งบริเวณที่พักแขน ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเสียง อาทิ วิทยุ-ซีดี MB Audio 20 ที่บริเวณคอนโซล พวงมาลัยเพาเวอร์แบบ 3 ก้าน ทรงสปอร์ต ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า
เบาะนั่งคู่หน้าเป็นเบาะหนังสีดำสปอร์ต โอบล้อมตัวผู้ขับ ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า ให้ความกระชับเป็นอย่างดี ไม่มีอาการเมื่อยล้าขณะเดินทาง ส่วนเบาะแถวหลัง สามารถพับเป็น 1/3 หรือ 2/3 ก็ได้ครับ ซึ่งผมได้ลองนั่งแล้ว ก็นั่งสบายมีพื้นที่วางขา ไม่มากไม่น้อย กำลังพอดี พื้นที่เฮดรูมโปร่งครับ แม้ภายในจะเป็นสีดำหมดก็ตาม
ส่วนใหญ่คนไทยเราจะคุ้นชินระบบไฮบริดของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น ซึ่งก็ต้องบอกว่า แต่ละค่ายเองก็มีความแตกต่างกัน เช่นเดียวกันครับ ระบบไฮบริดของเมอร์เซเดสเบนซ์ นอกจากจะเป็นปลั๊กอิน แล้วยังมีลักษณะ และโหมดการขับขี่ในรูปแบบต่างๆ ให้ผู้ขับขี่ได้เลือกใช้ ดังนี้ครับ
HYBRID: โหมดนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
E-MODE: เป็นการขับโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว) จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 31 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) โดยเฉพาะการขับขี่ในเมือง โดยในโหมดนี้ ท่านจะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน เพราะถ้ากดคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น เช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่าต้องการเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น แล้วเมื่อไปถึงในเมือง แล้วต้องการจะใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน เพราะในเมืองรถติด ความเร็วก็ไม่ค่อยได้ใช้ จะได้ประหยัดน้ำมัน เมื่อชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมือง ก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ ที่สำคัญประหยัดน้ำมันไปได้เยอะที่เดียวเชียวแหละ
CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ในการขับเคลื่อนเลย เพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่ และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็ว หรือการเบรก ให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า และเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่ครับ เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
C 350 e AMG Dynamic ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ 4 สูบ แถวเรียง 1,991 ซีซี 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที
ด้านมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 60 กิโลวัตต์ ให้กำลังถึง 82 แรงม้า และแรงบิด 340 นิวตันเมตร C 350 e มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
ด้านสมรรถนะการขับขี่ ด้วยขนาดของเครื่องยนต์ และขนาดของตัวรถที่เป็นสปอร์ตคอมแพคแบบนี้ คงไม่ต้องถามว่าทันใจหรือไม่ ดูจากตัวเลขด้านบนก็คงจะรู้ จุดเด่นก็อยู่ที่ระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านี่แหละครับ การที่วิ่งได้กว่า 30 กิโลเมตรด้วยพลังงานไฟฟ้า ทำให้รถคันนี้เป็นรถยนต์ที่มีทั้งความแรงและความประหยัด แถมยังสามารถวิ่งด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าได้ถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตรงนี้จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ผมจะติรถยนต์คันนี้ในเรื่องกำลังเครื่องยนต์
การตอบสนองของเกียร์ 7G นั้นราบลื่นมากๆครับ อาการหน่วงของคันเร่ง ถามว่ามีหรือไม่? ตอบตามตรงว่า มีครับ แต่น้อยมากเหลือเกิน ซึ่งถ้าขับรถเกียร์อัตโนมัติแล้วจะไม่ให้มีอาการนี้เลย ก็คงต้องเลิกครับ เลิกขับดีกว่า ต้องไปขับเกียร์ธรรมดาแล้วครับ แต่ถ้าไม่อยากหน่วงนะครับ ขับ Hybrid โหมดเลยครับ พลังไฟฟ้า ไม่มีหน่วงนะครับ นอกจากนั้นยังมีโหมดการขับให้เลือก 5 รูปแบบ คือ
- Individual (I)
- Sport+ (S+)
- Sport (S)
- Comfort (C)
- Economy (E)
เชียงราย – เชียงใหม่ คือเส้นทางที่ใช้ในการทดสอบ C 350 e ในครั้งนี้ ถือว่าได้ลองทั้งอัตราเร่ง และช่วงล่างที่เป็นแบบถุงลม (AIRMATIC) สามารถซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้ดี และตอบสนองต่ออัตราเร่งในยามที่ต้องกดคันเร่งพุ่งออกจากโค้ง หรือโยกพวงมาลัยเพื่อเร่งแซงรถบรรทุก เรื่องช่วงล่างกับรถราคาขนาดนี้ ก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่าไว้ใจได้
สรุปภาพรวมของ Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic คันนี้ ต้องบอกว่าเป็นรถยนต์แบรนด์หรูฝั่งยุโรปที่ไม่ได้มีแค่การขับขี่ที่ดี แต่ยังมีระบบ Plug-in Hybrid มาเสริมด้านความประหยัด มีโหมดการขับขี่ในระบบ Hybrid มาให้เลือกถึง 4 โหมดตอบสนองการขับขี่ในแต่ละลักษณะได้อย่างครบถ้วน ด้านเครื่องยนต์ มีอัตราที่ดี ขับสนุกสนาน ให้อารมณ์สปอร์ต ช่วงล่างแบบถุงลมที่สามารถรักษาสมดุลของตัวรถทั้งย่านความเร็วสูง และการเข้าโค้ง ให้ความมั่นใจในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ความโดดเด่นในรุ่น AMG Dynamic คือความเป็นสปอร์ตของการตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึกดุดัน ภายนอกเรียบหรู แต่ดูเร้าใจตลอดเวลา
ด้วยค่าตัว 3 ล้านกลางๆ ถามว่าเหมาะกับใคร น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการรถยนต์ที่มีความเฉพาะตัว อายุตั้งแต่ 30 – 40 มีความสนุกสนานในการใช้ชีวิต ใช้ชีวิตในเมือง แม้จะทำงานมั่นคง มีรายได้ที่มั่นคง แต่ก็ยังคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่าย หรือเป็นคนที่ตามเทรน ทันสมัย ถ้าชีวิตของคุณมีหลายสิ่งหลายอย่างตรงกับที่ผมว่ามา C 350 e AMG Dynamic ก็น่าจะเป็นรถที่เหมาะกับคุณ