ทริปพิเศษประเดิมปี 2559 จากการร่วมมือกันระหว่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ได้จัดการท่องเที่ยวในรูปแบบคาราวานรถยนต์ ในโอกาสการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในชื่อ “Toyota Hilux Revo Asean Friendship Caravan” วิ่งผ่าน 4 ประเทศ ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา
จุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดขายหลักที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนให้คึกคัก ซึ่งการที่ “โตโยต้า” กระโดดนำกระบะรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Toyota Hilux Revo โมเดลปี 2015 เข้าร่วมผนึกเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในรูปแบบคาราวานครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็ทำให้โตโยต้าเองได้พิสูจน์สมรรถนะของ Toyota Hilux Revo ว่าสามารถเป็นกระบะคู่ใจนักเดินทางที่ตะลุยไปได้ทุกที่พร้อมกับคุณ ซึ่งไฮไลท์สำหรับทริปนี้ ต้องบอกว่าอยู่ที่ประเทศเวียดนาม ฉะนั้น ใครจะเลื่อนไปอ่านการเดินทางในประเทศเวียดนามก่อนได้นะครับ
วันที่ 1
คาราวาน Hilux Revo แบ่งเป็น 2 ขบวน คือขบวนที่วิ่งในประเทศ คาราวานอีสาน 20 คัน และขบวน คาราวานอาเซียน 4 ประเทศ อีก 20 คัน ผมเองประจำการที่ Hilux Revo 2.8G AT Prerunner 2×4 หรือ “ขับสองยกสูง” สีขาวมุข หมายเลข 16 รับหน้าที่สารถีไม้แรก ออกสตาร์ทจากประเทศไทย ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าสู่อีสานใต้ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อไปดูสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งอารยธรรมแห่งแรกอย่าง ปราสาทหินพนมรุ้ง ถือเป็นโบราณสถานในอดีตที่มีความเชื่อมโยงของคนในภูมิภาคอาเซียน ในการเดินทาง 2 วันแรก ขบวนรถ Hilux Revo ทั้ง 2 ขบวน จะวิ่งรวมกันเป็นขบวนใหญ่ 40 คัน ในวันแรกใช้ความเร็วเฉลี่ย 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมระยะทางวันแรกกว่า 460 กิโลเมตร
วันที่ 2
การเดินทางในวันที่ 2 ยังคงเดินทางร่วมกันทั้ง 40 คัน เส้นทางบุรีรัมย์ – อุบลราชธานี จุดที่จะต้องแวะในวันนี้ คือ หมู่บ้านช้างตากลาง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อดูวิถีชีวิตของช้างบ้าน ที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศในแถบเอเชีย สำหรับสถานที่ไฮไลท์ของวันที่ 2 นี้ อยู่ที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีภาพร่องรอยของภาพสีเก่าแก่ของคนในยุคโบราณ จัดเป็นแหล่งอารยธรรมที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตของผู้คนในลุ่มแม่น้ำโขง
รวมระยะทางโดยประมาณ ในการเดินทางวันที่ 2 กว่า 400 กิโลเมตร ก่อนจะเข้าพัก 1 คืน ที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ก่อนที่วันรุ่งขึ้น ทั้ง 2 ขบวนจะแยกกันโดยขบวนคาราวานอาเซียน ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 10 วัน โดยจะข้ามไปฝั่งลาว ที่ด่านช่องเม็ก
วันที่ 3
การเดินทางในวันที่ 3 ช่วงเช้ามุ่งหน้าไปที่จุดผ่านแดนช่องเม็ก อุบลราชธานี ทำเรื่องเอกสารกันอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ เดินทางไปยังปราสาทหินวัดพู (Wat Phou) เขตุจำปาสัก (Champasak) ประเทศลาว ตามโปรมแกรมแหล่งอารยธรรม AEC ที่มีความเกี่ยวข้องกับทางปราสาทหินพนมรุ้ง ในยุคอาณาจักรขอมยังคงอยู่ ซึ่งทางคาราวานใช้ทางฝุ่น ระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร สองข้างทางเป็นบ้านเรือนชาวลาว เด็กปั่นจักรยาน มอเตอร์ไซค์ ต้องบอกว่า ขบวนเรามา ก็ทำให้ฝุ่นตลบ เพราะรถมีถึง 20 คัน แถมยังมีรถจากฝั่งลาวที่สัญจรไปมาอีก
หลังจากปราสาทหินวัดพู เราแวะทานอาหารเที่ยง ก่อนขบวนจะเคลื่อนตัวไปดูน้ำตกผาส้วม (Pha Suam Falls) ซึ่งบริเวณนั้นมี กลุ่มชนพื้นเมืองเมือง ชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งจุดนี้ อยู่ในเขตเมืองปากเซ (Pakse)
คนไทยถ้าแวะมาไม่ต้องกลัวอะไรมากไปกว่าการขับรถที่ต้องระมัดระวังหน่อย เพราะ Hilux Revo ของพวกเราเป็นพวงมาลัยขวา แต่ในลาวนั้นขับขี่ตรงข้ามกับเมืองไทย แถมยังมีมอเตอร์ไซค์ สัตว์เลี้ยง ลูกเด็ก เล็กแดง ทั้งหมดใช้ถนนร่วมกัน ก็ถือเป็นอุปสรรค์ที่ต้องคอยระวังครับ ในปากเซ มีรถหลากหลายค่าย แต่เยอะสุดก็ โตโยต้า แต่ค่ายอื่นๆ ก็มี ไม่ว่าจะ อีซูซุ ฟอร์ด นิสสัน มิตซูบิชิ และอีกมากมาย ที่ไม่มีในบ้านเรา รวมระยะทางของวันที่ อีก 441 กิโลเมตร
วันที่ 4
เช้าวันที่ 4 ตื่นตั้งแต่ตี 5 (จริงๆก็ตี 5 ทุกวันครับ) ล้อหมุนออกจากปากเซ ปลายทางวันนี้ คือ เขตุยาลาย (Gia Lai เมืองเปกู (Pleiku) ประเทศเวียดนาม (Vietnam) ระยะทางประมาณ 480 กิโลเมตร เห็นจะได้ครับ จะเดินทางไกล จากลาว ไปเวียดนาม มาถึงลาวถ้าไม่ดื่มกาแฟ ถือว่าผิด เพราะประเทศลาว เป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ใหญ่อันดับต้นๆในภูมิภาคอาเซียน ถือเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่สร้างรายได้มหาศาลในกับคนในประเทศ โดยประเทศที่รับซื้อรายใหญ่ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างเวียดนามนั่นเอง ด้วยเหตุผลของการมีชายแดนที่เป็นพื้นที่ปลูกกาแฟติดกัน หรือหลายท่านอาจจะคุ้นหู ถ้าพูดถึงที่ราบสูงโบโลเวน ฟังชื่อนึกว่าอยู่ยุโรปใช่ไหมละครับ แท้จริงอยู่ที่ประเทศลาวนี่แหละ กาแฟชื่อดังสัญชาติลาว ที่ทำตลาดในประเทศไทยของเราตอนนี้ ก็คือ ดาวกาแฟ เป็นแบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งของที่นี่ครับ
เส้นทางในวันที่ 4 ต้องขับผ่านเขาเป็นส่วนใหญ่ครับ มีขึ้นมีลง โค้งเยอะ เราใช้รถพวงมาลัยขวา ขับเลนขวา คนโดยสารด้านซ้ายก็ต้องเป็นหูเป็นตา คอยมองให้สัญญาณเวลารถส่วน หรือจะเร่งแซง เรียกว่าระมัดระวังไม่พอ ใครจะขับรถจากประเทศไทยไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน แนะนำ อย่าไปคนเดียว ไปด้วยกันจะได้ช่วยกันให้สัญญาณ
ลงจากเขามาไม่นานเท่าไหร่ เราก็มาถึงเมืองอัดตะปือ (Attapeu) แวะทานอาหารเที่ยง ก่อนจะไปต่อยังจุดผ่านแดนลาว-เวียดนาม เดินทางต่อไปยังเมืองเปกู ตลอดเส้นทางเริ่มเห็นวัฒนธรรม วิถีชีวิตที่แตกต่างออกไป จากประเทศลาวและประเทศไทย ท่ามกลางถนนหนทางที่กำลังขยับขยายรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน
ยิ่งขับเข้ามาให้เมือง ยิ่งผ่านเขตุชุมชน รถยิ่งเยอะ การได้ Toyota Hilux Revo มาก็ดีตรงนี้แหละครับ แม้เบาะนั่งจะไม่สบายเท่าที่ควรเพราะเป็นรถกระบะ แต่เครื่องที่แรง อัตราเร่งที่ดี เมื่อเจอกับสถานการณ์คับขัน ก็ทำให้เรามั่นใจมากๆครับ เพราะทั้งลาว และเวียดนาม ขับรถพวงมาลัยซ้าย วิ่งรถเลนขวา เราเองนอกจากจะแซงลำบากแล้ว ก็ต้องตัดสินใจให้ดี แซงให้เด็ดขาด ถ้าไปเจอรถที่กำลังไม่ดี ก็คงจะเหนื่อยกว่านี้ครับ
ข้างทางของถนนเส้นใหม่ที่วิ่งจากชายแดนลาว-เวียดนาม ไปสู่เมืองเปกู ซึ่งเป็นพื้นที่การเกษตร จะพบเห็นกองผลผลิตที่ชาวไรชาวสวนเอามากองไว้รอรถมาขน หรือกลายเป็นที่ตากแดดเพื่อไล่ความชื้นของผลผลิต
ยิ่งขับเข้ามาให้เมือง ยิ่งผ่านเขตุชุมชน รถยิ่งเยอะ การได้ Toyota Hilux Revo มาก็ดีตรงนี้แหละครับ แม้เบาะนั่งจะไม่สบายเท่าที่ควรเพราะเป็นรถกระบะ แต่เครื่องที่แรง อัตราเร่งที่ดี เมื่อเจอกับสถานการณ์คับขัน ก็ทำให้เรามั่นใจมากๆครับ เพราะทั้งลาว และเวียดนาม ขับรถพวงมาลัยซ้าย วิ่งรถเลนขวา เราเองนอกจากจะแซงลำบากแล้ว ก็ต้องตัดสินใจให้ดี แซงให้เด็ดขาด ถ้าไปเจอรถที่กำลังไม่ดี ก็คงจะเหนื่อยกว่านี้ครับ
ก่อนจะถึงที่พักในเมืองยาลาย เจอปั๊มน้ำมันก็แวะเติมน้ำมันกันก่อน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งปั๊มน้ำมันที่เปรียบได้กับ ปตท.ในบ้านเราก็คือ ปั๊ม Petrolimex เป็นปั๊มที่มีสาขามากที่สุดในประเทศเวียดนาม กว่าจะถึงที่พักในวันนั้น ก็ฟ้ามืดไปแล้วครับ มาถึงเมืองยาลาย หลายคน ถ้าเป็นแฟนบอลจะคุ้นชื่อ เพราะเมืองนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก “ซิโก้ – เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทยคนปัจจุบัน ที่เคยมาค้าแข้งให้กับสโมสรฟุตบอล “ฮองอันห์ยาลาย” (Hoang Anh Gia Lai Football Club) ในประเทศเวียดนามจนโด่งดัง ถึงขนาดที่รูปติดผนังห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมที่พวกเราชาวคาราวานไปพัก
วันที่ 5
เราออกเดินทางในวันที่ 5 ผ่านเมืองบวนมาถ็วต (ฺBuon Ma Thuoc) แวะทานกาแฟ ก็เหมือนประเทศลาวนั่นแหละครับ ไม่ดื่มกาแฟเวียดนาม ก็ต้องบอกว่ามาไม่ถึง คนเวียดนามถือเป็นตัวยงเรื่องการดื่มกาแฟ เรียกว่าสโลว์ไลฟ์ตัวจริงเสียงจริงเลยก็ว่าได้ เพราะเวียดนามมีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟ แบบเป็นวิถีชีวิต เป็นผลมาจากอิทธิพลของฝรั่งเศษ (France) ที่ทิ่งไว้หลังจากหมดยุคล่าอาณานิคม
ปลายทางวันที่ 5 อยู่ที่เมืองดาลัด ถือเป็นไฮไลท์ของทริปนี้อยู่เหมือนกัน เพราะเมืองดาลัด (Dalat) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี ตึกรามบ้านช่องสไตล์ยุโรป เพราะมีผู้คนนับถือศาสนาคริสต์อยู่มากเลยทีเดียว ต้องบอกว่า เป็นเมืองที่น่าประทับใจมากๆในทริปนี้
เหตุที่ทำให้เมืองดาลัด เป็นเมืองที่สวยงาม น่าท่องเที่ยวมากที่สุดเมืองหนึ่งในอาเซียน ก็เพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ใกล้เคียงกับในประเทศจีน เมืองดาลัดมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร ทำให้อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 18 ถึง 25 องศาเซลเซียส
ในด้านสถาปัตยกรรม หรือศิลปะทางตะวันตกที่เกิดขึ้นกับเมืองนี้ ก็คือมรดกทางวัฒนธรรมที่ฝรั่งเศสทิ้งเอาไว้หลังจากหมดยุคล่าอาณานิคม เนื่องจากในยุคนั่นฝรั่งเศสต้องการจะสร้างเมืองดาลัดแห่งนี้ให้กลายเป็นเมืองตากอากาศ
วันที่ 6
การเดินทางในวันที่ 6 เราออกจากเมืองดาลัดแต่เช้าด้วยการขับ Toyota Hilux Revo วนชมเมืองกันสักหนึ่งรอบ ก่อนที่จะลาจากเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป โดยมีคิวแวะ รับประทานอาหารกลางวันที่เมืองฟานราง (Phan Rang) หลังจากนั้น จึงเป็นไฮไลท์ของคาราวานทริปนี้ คือการนำกระบะ Hilux รุ่นใหม่ล่าสุด ลงไปลุยทะเลทรายที่ทะเลทรายมุยดิน (Mui Dinh) ซึ่งก็เป็นทะเลทรายจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากทะเลทรายที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม ที่ชื่อว่า มุยเน่ (Mui Ne) ระยะทางในวันนี้ ประมาณ 270 กิโลเมตร ครับผม
หลังจากคาราวานวิ่งลงมาจากเมืองดาลัด ผมก็เริ่มเห็นความแตกต่างของสภาพภูมิประเทศ ที่เปลี่ยนไปตามเส้นทางที่ขบวนคาราวานเดินทางมา ไม่น่าเชื่อว่า ระยะที่ห่างกันไม่ถึง 300 กิโลเมตร จากดาลัด ถึง มุยเน่ สภาพอากาศ และภูมิประเทศจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คาราวาน Toyota Hilux Revo เริ่มเจอกับกระแสลมที่มาปะทะตัวรถแรงขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า กระบะเจเนอเรชั่นใหม่ของโตโยต้านิ่งใช้ได้ พวงมาลัยที่เซ็ตมาให้น้ำหนักดี แม้คาแลคเตอร์จะไม่ใช่แนวซิ่ง ออกไปทางสุภาพนุ่มนวล ผลที่ได้คือควบคุมรถได้ง่ายทุกย่านความเร็ว ยามอยู่หลังพวงมาลัย Revo จะไม่ค่อยเครียด
ก่อนจะไปลุยทะเลทราย ตรงจุดนี้ ต้องย้ายรถ มาขับ Hilux Revo รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 2.8G AT ซึ่งมีทั้งหมด 3 คัน แบ่งกันขับเป็นรอบ รอบละ 3 คน 3 คัน
ก่อนจะขับ ทีมงานทำการเตรียมรถก่อนครับ ใช่ว่าอยู่ดีๆ มีรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ แล้วจะเอารถขับเคลื่อน 4 ล้อ ขับไปลุยเลยทันที การขับรถบนพื้นผิวทะเลทรายนั่นมีความแตกต่างจากการขับ Off Road ในรูปแบบปกติ เพราะสภาพพื้นที่มีความแห้ง และร่วนมากๆ ย่อมมีโอกาสที่จะทำให้ล้อรถเกิดอาการหมุนฟรีได้ง่าย และเป็นสาเหตุของการทำให้รถจมผิวทราย ฉะนั้น ก็จะลุยทะเลทราย ผมแนะนำการเตรียมรถ เพื่อการขับ Off Road บนทะเลทรายดังนี้ครับ
- ปล่อยลมยาง ให้มีแรงดันเหลือ 15-18 Psi เพื่อให้หน้ายางยุบตัว ถ้าลมยางแข็งเกินไป โอกาสที่รถจะตะกุยทรายจนล้อจม ก็มีสูง
- เข้าเกียร์ 4 x 4 ในตำแหน่ง H4 (ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิว หรืออาจจะต้องใช้ L4)
เมื่อทำตามขั้นตอนทั้ง 2 ขั้นตอนแล้ว ในการขับขี่ ผู้ขับก็ต้องทำความเข้าใจ และมีข้อแนะนำกันอีกเล็กน้อยครับ
- การขับ Off Road บนทะเลทรายนั้น ต้องพยายามเลี้ยงคันเร่งให้มีความสม่ำเสมอ หากจะเพิ่มความเร็ว ไม่ควรกระแทกคันเร่ง ให้ใช้วิธีค่อยๆเติม เพื่อป้องกันไม่ให้ล้อหมุนฟรี
- ในเส้นทางที่ต้องขับขึ้นเนิน สันทราย หรือ Sand Dune ต้องประเมินกำลังเครื่องยนต์ ว่ามีกำลังพอที่จะปีนขึ้นไป (หากขับขึ้นเนินไปแล้ว รู้สึกว่ากำลังเครื่องยนต์ไม่พอ หรือไม่มั่นใจ ให้ปล่อยรถไหลกลับลงมาตั้งหลัก แล้วค่อยเติมคันเร่งขึ้นไปใหม่)
- ตัดสินเลือกไลน์การขับขี่ที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องขับตามรอยเดิม
เมื่อถึงเวลาควบ Toyota Hilux Revo ลงไปลุยทะเลทราย ก็ต้องบอกว่า ความสนุกเร้าใจแบบนี้ เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากของคนไทยครับ เพราะบ้านเราไม่มีทะเลทราย
ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร บนทะเลทราย กดความเร็วไปจนถึง 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ทางโล่งกว้างขนาดนี้ ก็ไม่ต้องกลัวชน แต่ที่ต้องคำนึงคือความปลอดภัย และการตัดสินใจในระหว่างการขับขี่ การเลือกไลน์การวิ่ง เพราะเราวิ่งกันทีละ 3 คัน
ผมเองประจำการอยู่ที่คันสีแดง ก็เป็นเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ตัวท๊อป ที่มีระบบช่วยเหลือต่างๆมากมาย อาทิ TSC,TRC และVSC ซึ่งระบบเหล่านี้ก็ทำงานได้ดีมากๆ เอาเสียด้วย จังหวะท้ายปัด ท้ายดิ้น รถมีอาการน้อยมาก ถ้ารถยนต์ที่ไม่มีระบบดังที่กล่าวมา อาการจะออกมากกว่านี้ในการขับขี่ทะเลทราย…เรียกได้ว่า Toyota Hilux Revo ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำเรื่องท้าทายให้เป็นความจริง!
หลังจากเซสชั่นการขับ Toyota Hilux Revo ลุยทะเลทราย ขบวนคาราวานของพวกเรา ก็เดินทางกันต่อไปยังมุยเน่ ซึ่งจะเป็นที่พักของเราค่ำคืนนี้ เส้นทางที่เราใช้ในครั้งนี้ เป็นเส้นทางที่เริ่มเปิดใช้ได้ไม่นาน บางจุดกำลังก่อสร้าง และดูเหมือนว่าจะเป็นเส้นทางที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ
ทะเลทรายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเวียดนามก็คือ ทะเลทรายมุยเน่ สาเหตุที่พื้นดินแถบนี้กายเป็นทะเลทราย ก็เพราะบริเวณนี้เป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีกระแสลมแรง ลมได้พัดเอาทรายจากทะเล เข้ามาปกคลุมหน้าดินบริเวณนี้ ทำให้ต้นไม้ต่างๆเริ่มตายลง และไม่สามารถขึ้นได้อีก พื้นที่บริเวณนี้จึงกลายเป็นทะเลทรายอย่างที่เราได้เห็นกัน
ถ้าจะบอกว่าเวียดนาม เป็นประเทศที่น่าจะไปเที่ยวมากที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน ก็คงจะไม่ผิด จุดเด่น อยู่ที่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ที่แม้จะมีพื้นที่ไม่มากนัก แต่กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง “ถ้าคุณเป็นนักเดินทาง ประเทศเวียดนาม ก็น่าจะเป็นชื่อที่คุณจะต้องจดลงบนปฏิทินการท่องเที่ยวส่วนตัว”
วันที่ 7
จากมุยเน่ วันนี้คาราวานออกเดินทางไปยังเมืองโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) ระยะทาง 220 กิโลเมตร ครับ เป็นเส้นทางที่เริ่มเจอกับรถเยอะขึ้น โดยเฉพาะรถบรรทุก ตลอดเส้นทาง เพราะโฮจิมินห์ จัดว่าเป็นเมืองสำคัญของเวียดนาม เป็นเมืองเศษฐกิจ บ้านเมืองมีความทันสมัย พร้อมที่จะรองรับทั้งการค้า และการท่องเที่ยวไปพร้อมๆกัน
การจะเข้าโฮจิมินห์ ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ สำหรับพวกเรา ที่มากันเป็นขบวนถึง 20 คัน ทีมงานได้ประสานกับชมรมบิ๊กไบค์ที่เวียดนามเอาไว้ เพื่อบล๊อคถนนให้คาราวาน Toyota Hilux Revo ของเราเข้าเมืองได้อย่างสะดวก หลายท่านน่าจะทราบดีว่า ประเทศเวียดนามนั้นเป็นประเทศที่มีการจราจรจอแจมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และขับขี่ยากเนื่องจากนิยมใช้มอเตอร์ไซค์ แต่ไร้ซึ่งระเบียบ ยิ่งเป็นเมืองใหญ่อย่างฮานอย กับโฮจิมินห์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับ ประชากรของรถมอเตอร์ไซค์เฉพาะนครโฮจิมินห์นั้นมีเกือบ 5 ล้านคัน! ถ้าไม่มีกลุ่มบิ๊กไบค์มานำพวกเราเข้าไป นอกจากจะล้าช้าในการเดินทางเข้าเมืองแล้ว ยังอาจจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นด้วย
เมืองโฮจิมินห์ เดิมชื่อเมืองไซง่อน หลายคนน่าจะคุ้นหู เป็นเมืองที่สวยงามครับ เพราะการวางผังเมืองที่ดี มีการแบ่งโซนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ หน่วยงานราชการ และสถานที่ท่องเที่ยว ในยามค่ำคืน แสงสีตามตึกต่างๆ สวยงามอลังการ ไม่มากไม่น้อย ไม่รกหูรกตา โดยเฉพาะ ที่อนุสาวรีย์ท่านโฮจิมินห์ ถือเป็นใจกลางเมือง ที่มีผู้คนออกมาชุมนุมถ่ายรูปกันมากที่สุด บริเวณนั้น เป็นจุดที่มีสีสันมากที่สุดของเมือง ใครมาโฮจิมินห์ ต้องออกมาเดินเล่นชมบรรยากาศครับ
วันที่ 8
วันนี้เราจะเดินทางข้ามไปยังประเทศที่ 4 แล้วครับ นั่นคือประเทศกัมพูชา ดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณ แต่ก่อนจะข้ามไปกัมพูชา เราก็แวะมาดูอีกหนึ่งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ทางด้านสงครามของเวียดนาม ถ้าพูดถึงเวียดนาม แล้วไม่พูดเรื่องสงคราม ก็ดูจะเหมือนจะขาดอะไรไปหน่อย อย่างที่ทราบกันว่า เวียดนามนั้น มีสงครามกับประเทศยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส (France) จีน (Chaina) และสหรัฐอเมริกา (U.S.A.) แต่สงครามที่ทำให้ชาวเวียดนามต้องลำบากที่สุด ก็คือสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 ที่เวียดนามทำการรบกับสหรัฐอเมริกา แม้เวียดนามจะเป็นฝ่ายชนะสงครามก็ตามแต่ชาวเวียดนามก็ต้องเจ็บปวดมากที่สุด ในสงครามครั้งนี้
เวียดนามทำทุกวิถีทางในภาวะสงคราม นอกจากขุดที่อยู่ใต้ดินแล้ว ยังสร้างกับดักต่างๆ มีการนำเอาหัวระเบิดที่สหรัฐฯ ทิ้งลงมา แต่ไม่ทำงาน เอามาเลื่อยผ่าออกเพื่อเก็บดินปืนเอาไว้ทำระเบิดมือของตัวเอง ด้วยการรบด้วยยุทธวิธีแบบกองโจรนี้เอง ทำให้อเมริกาต้องใช้สารเคมี ที่เรียกว่าฝนเหลืองต่อเวียดนาม เหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากคนเวียดนามจะเจ็บปวดมากแล้ว ในทางกลับกัน สหรัฐฯ เอง ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่านี่คือจุดด่างพล้อยของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาครับ
คาราวาน Toyota Hilux Revo ข้ามแดนไปยังประเทศกัมพูชา (Cambodia) ที่ด่านบาเวต (Bavet Border) ติดกับชายแดนเวียดนามใต้ หลังจากนั้นก็วิ่งกันยาวจนถึงเมืองหลวงพนมเปญ (Phnom Penh) ถนนหนทางยังคงเป็นถนนเลนสวน ขับขวาเหมือนกับเวียดนาม สองฝั่งทาง เป็นพื้นที่ราบ เน้นการทำนาเป็นส่วนใหญ่
ประมาณ 2 ชั่วโมงเรา รวมแวะพักด้วย เราก็มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ที่จะเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างไทย กัมพูชา และเวียดนาม เข้าด้วยกัน เมื่อก่อนจะต้องใช้เรือในการข้ามฝาก สะพานแห่งนี้ มีชื่อว่าสะพานเนียะเลิง (Nea Leung) อยู่ในจังหวัดกันดาล (Kandal) มูลค่ากว่า 32 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้การช่วยเหลือในการสร้าง สะพานเนียะเลิง สะพานแห่งนี้มีความยาวมากถึง 2,215 เมตร เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในกัมพูชา
สะพานเนียะเลิง ยังเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงอาเซียน สายที่ 1 หรือ ASEAN Highway เชื่อมต่อประเทศในอาเซียนทางทิศตะวันตกจนถึงมาเลเซียและสิงคโปร์ และในอนาคตโครงการทางหลวงอาเซียนจะเชื่อมต่อไปยังพม่าอีกด้วย
วันที่ 9
การเดินทางในวันที่ 9 เราออกจากพนมเปญ ปลายทางอยู่ที่เมืองเสียบเรียบ (Siem Reap) ระยะทาง 425 กิโลเมตร เพื่อไปยังนครวัด (Angkor Wat) นครธม (Angkor Thom) แหล่งท่องโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศกัมพูชา มีนักท่องเที่ยว ไทย (Thai) เกาหลี (Korean) จีน (Chinese) ญี่ปุ่น (Japanese) และยุโรป (European) เป็นส่วนใหญ่ ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว
คาราวานของเราขับเข้าไปชมปราสาทนครธมก่อน ประวัติคร่าวนั้น พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (Jayavarman VII) เป็นผู้สร้างสร้างขึ้น มีอาณาเขตพื้นที่ ประมาณ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด
เอกลักษณ์ของนครธมคือ การการสลักหินเป็นลวดลายบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะการเดินทัพ ออกรบ การแกะหินตามพนังของนครธมนั้นมีความอ่อนช้อยในแบบศิลปะขอมโบราณ
จุดสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน ก็คือนครวัด นครวัดสร้างในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (Jayavarman II) ผู้ครองอาณาจักรขอมช่วง พ.ศ.1656-1693 ปราสาทนครวัด ถือเป็นปราสาทที่มีความสวยงาม และใหญ่โตมากที่สุดใน
ด้านการก่อสร้าง ต้องใช้หินปริมาตรหลายล้านลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานคนนับแสน บวกกับแรงงานช้างเป็นหมื่นเชือกขึ้นไป ขนหินมาจากเขาพนมกุเลนชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร เนื่องจากนครวัดไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเพื่อเสริมบารมีของกษัตริย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นปราสาทราชธานีในสมัยนั้น
ด้วยเหตุนี้ ทำให้นครวัดมีพื้นที่จึงกว้างใหญ่ มีความยาวถึง 1.5 กิโลเมตร และกว้าง 1.3 กิโลเมตร รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,219 ไร่ หรือราว 200,000 ตารางเมตร
วันที่ 10
แล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทาง พวกเราจะได้กลับบ้านแล้วครับ คาราวานจะซัดรวดเดียว 404 กิโลเมตรข้ามแดนกลับประเทศไทย ทำเรื่องนำรถข้ามแดน ณ ด่านปอยเปต ฝั่งกัมพูชา เข้าสู่ไทยทางอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จุดหมายปลายทางอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพมหานคร เป็นอันจบสิ้นสุดยอดทริปการเดินทางและทดสอบสมรรถนะรถที่น่าประทับใจอีกทริปหนึ่ง
การเดินทาง 10 วัน สิ้นสุดลงเมื่อ ขบวน Toyota Hilux Revo ทั้ง 20 คัน ถึงหน้าโรงแรมดุสิตธานี รวมระยะทาง 3,400 กิโลเมตร การเดินทางครั้งนี้ ถือเป็นการเชิญชวนให้ผู้คนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว ลองเปิดใจเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศกลุ่ม AEC มากขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถยนต์ ซึ่งเป็นการเดินทางที่ต้องใช้เวลาพอสมควร และต้องศึกษาเส้นทาง ตลอดจนประเพณี และวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ สำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งรถยนต์ แต่ผู้เดินทาง ถ้ามีเวลา สักครั้งในชีวิต ก็น่าจะลองดูนะครับ
ทั้งหมดคือการเดินทางตลอด 10 วัน ที่ขับรถกันอย่างเต็มที่ มองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน แต่เป็นคนในภูมิภาคเดียวกัน การได้พาหนะคู่ใจในการเดินทางอย่าง Toyota Hilux Revo ก็ทำให้การขบวนรถยนต์ท่องเที่ยวในครั้งนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันจนจบ ก็หวังว่าจะเป็นการจุดประกายนักท่องเที่ยวในประเทศไทยให้ลองจับพวงมาลัยควบรถยนต์คู่ใจของท่านออกไปเผชิญดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เรียกว่า “อาเซียน” กันดูครับ
[ad name=”HTML-3″]