วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
4x4Car GURUDriving Skill

“11 เคล็ดลับในการขับขี่ Off Road”

ในการผจญภัยแบบออฟโรด ผู้ขับขี่จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถ และความชำนาญที่มาพร้อมกับความมั่นใจ ซึ่งอาจกลายเป็นเรื่องน่ากดดันสำหรับผู้ที่ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แบบออฟโรดมาก่อน แม้จะนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของรถที่มีระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ แต่การเริ่มต้นการขับขี่แบบออฟโรดก็ยังท้าทาย และอาจดูไม่สะดวกสบายเหมือนการขับรถบนถนนพื้นผิวเรียบในชีวิตประจำวัน

นี่คือเคล็ดลับเด็ดๆ เพื่อรับมือกับการเดินทางบนทุกพื้นผิวที่ท้าทายและการขับขี่ที่ปลอดภัยเมื่อออกผจญภัยแบบออฟโรด

1. เตรียมตัวให้พร้อม
การขับขี่แบบออฟโรดในรูปแบบต่างๆ นั้นนับเป็นความท้าทาย อย่างไรก็ตาม คุณสามารถลดความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน โดยวางแผนการเดินทางอย่างละเอียด และนำอุปกรณ์ที่จำเป็นพกติดตัวไปด้วย ตั้งแต่ การเติมน้ำมันให้เต็มถัง เตรียมเชือกสำหรับลากรถ พลั่ว ยางสำรอง และชุดอุปกรณ์การเปลี่ยนยาง เครื่องปั๊มลมแบบพกพา แผนที่และเข็มทิศ หรือ จีพีเอสนำทาง รวมทั้ง โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์ดาวเทียมเพื่อใช้ในการติดต่อหากเกิดเหตุจำเป็น

เมื่อมีโอกาส คุณควรทดลองการเดินทางแบบเป็นกลุ่ม เพราะข้อดีคือ คุณจะมีรถคันอื่นที่พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างเดินทาง

2. ทำความคุ้นเคยกับยานพาหนะของคุณ
การทำความรู้จัก และทำความเข้าใจวิธีการทำงานของรถยนต์ในหลากหลายสถานการณ์นั้นนับเป็นเรื่องที่สำคัญ คุณควรเรียนรู้การใช้งานต่างๆ ทั้งคุณสมบัติและเทคโนโลยีที่เฉพาะเจาะจงซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่เมื่อขับอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบออฟโรด ตัวอย่างเช่น รถกระบะ และ SUV รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับโหมดการตั้งค่าแบบอัตราทดต่ำและระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential (LRD) ที่ผู้ขับขี่ควรเรียนรู้วิธีการใช้งานก่อนออกไปตะลุยในสภาพแวดล้อมแบบสมบุกสมบัน

นอกจากการเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีของรถแล้ว คุณควรทำความคุ้ยเคยกับขนาดของตัวรถและสมรรถนะของรถยนต์ เพราะในบางครั้ง คุณอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องขับรถในที่แคบ ลุยน้ำ หรือขับข้ามสิ่งกีดขวาง ซึ่งในกรณีดังกล่าว คุณจำเป็นต้องทราบขนาดความกว้างความยาวของตัวรถ รวมทั้งความสามารถในการลุยน้ำ ลุยโคลน วิธีการหักเข้า และหักออกจากมุม

3. ลดแรงดันของยาง
อีกหนึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดในการพัฒนาสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรด พร้อมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารตลอดระยะเวลาการเดินทาง ซึ่งข้อดีในการลดแรงดันของยางนั้นมีอยู่มากมาย เช่น

  • หากพื้นผิวยางสามารถสัมผัสพื้นผิวของถนนได้มากเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้รถสามารถกระจายน้ำหนักได้สมดุลมากเท่านั้น
  • ยางจะสามารถดูดซับแรงกระทบได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยปกป้องล้อและส่วนอื่นๆ ของยานพาหนะเมื่อขับเคลื่อนบนถนนที่มีพื้นผิวขรุขระ
  • การลดแรงแรงดันของยางจะมอบความรู้สึกของการขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเมื่อออกผจญภัยแบบสมบุกสมบัน ยางที่อ่อนเล็กน้อยจะช่วยยึดเกาะถนนที่มีพื้นผิวขรุขระและสามารถลดแรงกระแทกได้ในเวลาเดียวกัน

โดยการลดขนาดแรงดันของยางจะแตกต่างกันตามสถานที่และสภาพพื้นผิวถนนที่คุณจะไป ดังนั้นคุณควรตรวจสอบแรงดันของยางให้เหมาะกับแต่ละสภาพพื้นผิวถนน

เมื่อขับขี่ด้วยขนาดแรงดันยางที่ลดลงแล้ว จงพยายามหลีกเลี่ยงการหักเลี้ยวกะทันหัน เนื่องจากการหักรถทันทีในขณะที่ยางไม่มีแรงดันเพียงพอ จะเพิ่มโอกาสที่ยางจะแยกออกจากล้อได้

พึงระลึกไว้เสมอว่า ต้องเติมลมยางกลับไปเหมือนเดิมทุกครั้งเมื่อกลับไปวิ่งบนถนนปกติ การขับขี่ด้วยยางที่มีลมไม่เพียงพอบนพื้นผิวถนนปกติจะทำให้ความปลอดภัยในการขับขี่ลดลงและยังกระทบไปถึงอายุการใช้งานของยางและการประหยัดน้ำมันอีกด้วย

4. ใช้ระบบอัตราทดต่ำ หรือ ใช้เกียร์ต่ำที่สุดที่มีอยู่
การควบคุมให้รถของคุณเคลื่อนที่ด้วยระบบอัตราทดต่ำจะช่วยเพิ่มพลังขับเคลื่อนได้ดียิ่งขึ้น ผู้ขับขี่จำเป็นต้องเพิ่มการควบคุมให้มากขึ้นในขณะขับเคลื่อนอยู่บนพื้นผิวเฉพาะที่ขรุขระและเมื่อต้องขับขึ้นหรือลงเนินที่สูงชัน
หรือ SUV บางรุ่นมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ หรือ Terrain Management System ก็สามารถเลือกโหมดการขับขี่สำหรับพื้นผิวที่เป็นหินขรุขระ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมยานพาหนะให้คุณได้มากที่สุดในเวลาที่จำเป็น

5. ขับรถด้วยความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การขับรถเร็ว หมายถึง คุณจะมีเวลาตอบสนองน้อยลงต่อสิ่งรอบข้างที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว และมักจะใช้เวลานานกว่าเมื่อคุณต้องการจะหยุดรถ ความเร็วจะเพิ่มความเสียหายต่อยานพาหนะมากขึ้นในกรณีที่คุณขับรถข้ามสิ่งกีดขวางหรือเมื่อปะทะกับสิ่งใดก็ตาม ในทางกลับกัน การขับรถในอัตราความเร็วต่ำจะช่วยให้ระบบกันกระเทือนรับมือกับแรงกระทบได้ดีกว่า ทำให้การขับขี่นั้นนุ่มนวลและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คุณยังมีเวลาพอที่จะตรวจสอบสิ่งรอบข้าง และมีเวลาไตร่ตรองก่อนจะตอบสนองกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

ในการขับรถข้ามสิ่งกีดขวางบางอย่างอาจจะต้องใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้น เช่น การขับขึ้นทางลาดชัน แต่โดยทั่วไปแล้ว สิ่งกีดขวางส่วนใหญ่ต้องการความเร็วในการขับที่มากกว่า ผู้ขับขี่ควรพยายามขับรถในอัตราความเร็วที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในขณะเดียวกันระดับความเร็วนั้นก็ควรมากพอที่จะขับขึ้นเนินได้ พึงระลึกไว้เสมอว่าเมื่อขับรถในอัตราความเร็วต่ำกว่าที่กำหนด คุณจะสามารถเร่งความเร็วเพื่อข้ามสิ่งกีดขวางได้ง่ายๆ แต่ถ้าคุณขับรถเร็วเกินไป คุณอาจเผชิญกับความเสี่ยงที่มากกว่าและยากต่อการควบคุม

6. เลือกเส้นทางที่ดีที่สุด
คุณควรสำรวจเส้นทางด้านหน้าและพยายามเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในการเดินทาง แม้ว่าเรามีหลากหลายวิธีในการขับข้ามสิ่งกีดขวาง อย่างไรก็ตาม การเลือกเส้นทางที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดนับเป็นสิ่งสำคัญ และผู้ขับขี่ควรเลือกเส้นทางที่มั่นใจว่าล้อทั้ง 4 ล้อ จะสามารถสัมผัสกับพื้นผิวถนนได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับช่วงล่างของรถ หากเส้นทางด้านหน้าค่อนข้างลึกและแคบ รวมทั้งอาจมีสิ่งกีดขวางที่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยรอบ คุณควรมีผู้ช่วยในขณะเดินทาง เช่น เพื่อนที่สามารถลงจากรถและช่วยบอกทางเพื่อให้ข้ามสิ่งกีดขวางนั้นไปได้

7. ขับเคลื่อนผ่านแอ่งน้ำด้วยความระมัดระวัง
ก่อนที่จะขับรถข้ามแอ่งน้ำใหญ่ ผู้ขับขี่ควรตระหนักถึงประสิทธิภาพในการลุยน้ำของรถยนต์ เช่น รถกระบะ และ SUV ขนาดใหญ่ สามารถลุยน้ำได้ลึกถึง 800 มิลลิเมตร ที่อัตราความเร็วคงที่ไม่เกิน 7 – 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เมื่อจะขับผ่านแอ่งน้ำ ผู้ขับขี่ควรวัดระยะความลึกของน้ำด้วยแท่งไม้หรือเดินรอบๆ บริเวณที่ต้องการจะขับผ่าน หากแอ่งน้ำมีความลึกกว่าความสามารถในการลุยน้ำของตัวรถ ผู้ขับขี่ควรหาเส้นทางใหม่ และในระหว่างที่คุณประเมินระดับน้ำหรือความสูงของน้ำ คุณควรระวังอันตรายต่างๆ ในน้ำ เช่น หิน หรือ หลุม เป็นต้น
หากแอ่งน้ำมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะข้ามได้ ผู้ขับขี่ควรขับรถอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันการกระเด้งของฝากระโปรงรถ และเมื่อขับเคลื่อนไปแล้ว ก็ควรรักษาระดับความเร็ว และที่สำคัญ ไม่ควรหยุดรถในขณะขับผ่านหลุมลึกเพราะอาจทำให้ชิ้นส่วนของรถยนต์จมน้ำได้

8. ทำความเข้าใจในเรื่องการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน
พื้นผิวถนนที่แต่งต่างกันจำเป็นต้องใช้เทคนิคที่เฉพาะเจาะจงต่อพื้นผิวนั้นๆ ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ ใน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะทำให้การจญภัยของคุณง่ายขึ้น เพียงปรับโหมดให้เหมาะกับสภาพพื้นผิวต่างๆ ที่คุณขับไป และนี่คือวิธีการปรับใช้โหมดต่างๆ

พื้นผิวทราย ปัจจัยสำคัญในการขับออฟโรดบนพื้นผิวทราย คือ การรักษาสมดุลของตัวรถและรักษาอัตราหมุนของเครื่องยนต์ (RPM) ให้สูงเสมอ หากคุณขับรถช้าหรือไม่ขยับล้อรถ ก็จะเพิ่มความเสี่ยงที่รถจะจมทรายมากขึ้น

สิ่งที่ต้องคำนึงยามที่ขับบนทราย อันดับแรกคือ การปรับเปลี่ยนเกียร์สูงหรือต่ำให้ช้าลงจะช่วยให้คุณรักษาอัตราการหมุนของเครื่องยนต์ไว้ในระดับสูงได้ ระบบเบรกและระบบป้องกันล้อหมุนฟรี จะปล่อยให้ล้อรถลื่นไถลได้มากขึ้น เพื่อให้รถสามารถรักษาสมดุลและขับเคลื่อนต่อไปได้ และอันดับสุดท้าย คือระบบเพิ่มความไวของคันเร่ง เพื่อให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้เร็วต่อทุกสัมผัส  

เมื่อจอดรถบนหลุมทรายลึก คุณควรจะรอให้รถไหลและหยุดเองก่อนที่จะดับเครื่องเพื่อป้องกันล้อไม่ให้จมลงไปในทราย และเพื่อการใช้เบรกและออกรถครั้งต่อไปที่ง่ายดายยิ่งขึ้น อีกหนึ่งเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณออกรถครั้งต่อไปได้อย่างนุ่มนวล คือ การจอดรถบนพื้นผิวราบหรือให้รถหันหน้าลงเล็กน้อย

หิมะ/ โคลน/ หญ้า เมื่อคุณขับรถบนถนนที่มีพื้นผิวลื่น เช่น บนโคลน ก้อนกรวด หญ้าเปียก หรือ หิมะ สิ่งสำคัญที่สุด คือ การควบคุมรถ เพื่อป้องกันการลื่นไถล เทคนิคการขับที่ต้องใช้คือ เปลี่ยนเกียร์สูงให้เร็วขึ้น และปรับลดเกียร์ต่ำให้ช้าลง เพื่อให้รอบเครื่องต่ำ ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น จะเพิ่มการยึดเกาะถนน ลดการลื่นไถล ช่วยให้คุณสามารถควบคุมความเร็วของเครื่องยนต์ได้อย่างแม่นยำ

พื้นหิน สำหรับการขับขี่บนพื้นหินขรุขระ คุณควรขับขี่ที่โหมดอัตราทดต่ำเท่านั้น  เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณขับปีนข้ามหินโดยรถยนต์ไม่ได้รับความเสียหาย และจะช่วยให้การเกาะถนนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เมื่อคุณบังคับเครื่องยนต์ด้วยเกียร์ต่ำ ระบบเบรกและป้องกันล้อหมุนฟรี จะช่วยลดการลื่นไถลของล้อในประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้รถเกาะถนนเมื่อปีนขึ้นบนพื้นหิน เดินคันเร่งทีละน้อย อย่างช้าๆไม่เร่งออกตัวเร็วจนเกินไป

9. โปรดตระหนักไว้ว่า คุณสามารถเลี้ยวรถกลับได้เสมอ

แม้รถคุณจะมีระบบขับเคลื่อนอันทันสมัย ตกแต่งอุปกรณ์มาแบบจัดเต็ม หากคุณยังไม่มั่นใจในเส้นทางที่คุณได้ประเมินความเหมาะสมของพื้นผิวถนนเป็นอย่างดี คุณก็สามารถจะเลือกเส้นทางอื่น หรือหาทางกลับรถได้ทุกเมื่อ เพราะความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุดในการผจญภัยแบบอ๊อฟโร้ด

10. บอกเพื่อนหรือญาติของคุณเกี่ยวกับแผนและวันเดินทาง
สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ เพื่อนและคนในครอบครัวของคุณควรจะได้รับทราบถึงแผนการเดินทางและเส้นทางที่คุณจะขับรถไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณกำลังจะเดินทางไปในพื้นที่ที่ไม่สามารถติดต่อได้หรือในที่ที่มีสัญญาณมือถือน้อย อย่าลืมเช็คกับคนในท้องถิ่น หรือแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ในเรื่องสภาพอากาศทั้งก่อนและระหว่างเดินทาง

11. ทำความคุ้นเคยกับข้อกำหนดและกฎหมายของสถานที่ที่คุณจะเดินทางไป
ก่อนออกเดินทาง คุณควรได้ศึกษาถึงข้อกำหนดและกฎหมายต่างๆ รวมทั้งข้อควรระวังเกี่ยวกับประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะสถานที่อย่างอุทยานแห่งชาติ การขับรถแบบออฟโรดผ่านทางทะเลทรายบางแห่ง คุณจำเป็นต้องติดธงที่รถเพื่อให้เพื่อนร่วมผจญภัยแบบอ๊อฟโร้ดคันอื่นในทะเลทรายมองเห็น ซึ่งคุณควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับข้อกำหนดเหล่านี้

การขับรถแบบออฟโรด คือ ความหลงใหลส่วนตัวและช่วยเปิดโอกาสสู่การเรียนรู้ใหม่ๆ เสมอ หากคุณสามารถปฏิบัติตามเคล็ดลับทั้ง 11 ข้อนี้ได้ คุณก็จะปลอดภัยและประสบความสำเร็จในการผจญภัยแบบอ๊อฟโร้ดได้ตั้งแต่ครั้งแรก

ใส่ความเห็น