หลังจากที่ Suzuki Swift เวอร์ชันใหม่ได้เปิดตัวไปแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปลายปี 2016 Suzuki Motor Corporation ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวเวอร์ชันยุโรปที่งาน 2017 Geneva Motor Show โดยมันได้ถูกปรับปรุงทั้งทางด้านรูปลักษณ์และประสิทธิภาพการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งตัวถังของมันนั้นมีน้ำหนักที่เบาลงอย่างมาก และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยชั้นสูงอีกด้วย
Suzuki Swift ใหม่ เป็นรถ supermini ที่มีความยาว 3,840 มิลลิเมตร ซึ่งมันมาพร้อมกับทัศนวิสัยที่โดดเด่น, ห้องโดยสารที่โอ่โถง, และห้องเก็บสัมภาระที่กว้างขวาง Swift เป็นรถที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากผู้ขับขี่ทั่วโลก โดยมียอดขายถึง 5.4 ล้านคัน ในระยะเวลาไม่ถึง 12 ปี ซึ่งเร็วกว่าทุกโมเดลของ Suzuki
‘HEARTECT’ แพลตฟอร์มแบบใหม่
Suzuki Swift ถูกผลิตขึ้นบนแพลตฟอร์มรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า “HEARTECT” ซึ่งทำให้รถมีสมรรถนะที่ดีขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มนี้มีความเบาและแข็งแรงมากๆ และยังมีกาออกแบบโครงสร้างใต้ตัวถังและมีการจัดวางส่วนประกอบใหม่หมด ทำให้ตัวถังมีความแข็งแรงและมีความปลอดภัยหากเกิดการชนที่เพิ่มขึ้น Swift ใหม่นี้มีความยาวตัวถังสั้นลง 10 มิลลิเมตร แต่มีฐานล้อที่ยาวขึ้น 20 มิลลิเมตร ทำให้มีพื้นที่ห้องโดยสารเพิ่มขึ้น และมีเนื้อที่บรรทุกสัมภาระเพิ่มขึ้น 25% ที่ 254 ลิตร ซึ่งมากกว่าโมเดลปัจจุบันถึง 54 ลิตร ตัวรถยังมีขนาดที่ต่ำลง 15 มิลลิเลตร และกว้างขึ้น 40 มิลลิเมตร และ Swift เวอร์ชั่นยุโรปนี้มีความกว้างของฐานล้อหน้า – หลัง มากกว่าเวอร์ชันญี่ปุ่นอีกด้วย
นวัตกรรมการอออกแบบใหม่
การออกแบบภายนอกของ Swift ถูกพัฒนาขึ้นภายใตคอนเซปต์ “bold evolution of Swift’s DNA” Swift ใหม่นี้ยังคงสืบทอดเอกลักษณ์การออกแบบมาจากรุ่นที่ทำตลาดในปัจจุบัน แต่มีความหล่อเหลาปราดเปรียดมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยตัวถังมี่สั้นลง, ต่ำลงและกว้างขึ้น, มีกระจังหน้าที่กว้างและดุดัน, และเส้นสายที่รองรับอยู่ที่กันชนด้านหน้า แสเงถึงความแข็งแกร่างของรถคันนี้
Swift รุ่นใหม่นี้ให้ความรู้สึกความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการทำสีเสา A, B และ C ด้วยสีดำเพื่อให้หลังคาดูลอยอยู่ในแบบ Floating roof และซ่อนมือเปิดประตูหลังเอาไว้ในเสา C ตามสมัยนิยม และยังเสริมภาพลักษณ์ที่ดูไฮเทคด้วย ไฟ LED signature illumination ที่อยู่ใหโคมไฟหน้าแบะไปท้ายที่รวมอยู่ในโคมเดียวกัน
ภายในที่สะดวกสบาย
เบาะโดยสารถูกวางตำแหน่งให้ต่ำลงเพื่อเพิ่มเนื้อที่ระหว่างหลังคากับศีรษะของผู้โดยสาร เบาะคู่หน้ายังถูกออกแบบให้วางห่างกันมากขึ้นเพื่อเพิ่มที่ตรงกลาง อุปกรณ์ภายในต่างๆ ไได้รับการปรับปรุงให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น แปงคอนโซลกลางหันมาทางคนขับเล็กน้อย, เบาะคู่หน้าที่กระชับ นั่งสบายมากยิ่งขึ้น, ปุ่มควบคุมเครื่องปรับอากาศvอัตโนมัติแบบ LED เป็นต้น และการใช้แพลตฟอร์มแบบใหม่นั่นทำให้มีห้องเครื่องยนต์เล็กลง ซึ่งเป็นผลทำให้ห้องโสารและพื้นที่เก็บสัมภาระมีเนื้อที่เพิ่มขึ้น
สเปคที่โดนใจ
อุปกรณ์มาตรฐานมีมาให้มากมายในโมเดลนี้ โดยในรุ่น SZ3 จะเป็นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร Dualjet พร้อมเกียร์ manual, ถุงลมนิรภัย 6 ลูก, ระบบปรับอากาศ,พวงมาลัยหุ้มหนัง, วิทยุดิจิตอล DA พร้อมระบบ Bluetooth และลำโพง 4 ตัว, กระจกหลังแบบส่วนตัว, ไฟ LED daytime running lights, ล้อขนาด 15 นิ้ว, กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถและกระจกประตูคู่หน้าปรับไฟฟ้า
ส่วนในรุ่น SZ-T จะมาพร้อมกับเพครื่องยนต์ 1.0 ลิตร Boosterjet พร้อมเกียร์ manual, เพิ่มด้วยกล้องมองหลัง, Smartphone Link Display Audio, ล้ออลูมีเนียมขนาด 16 นิ้ว, และไฟตัดหมอกหน้า.
และในรุ่น SZ5 จะมีระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ, ล้ออลูมีเนียมปัดเงาขนาด 16 นิ้วs, ระบบนำทางผ่านดาวเทียม, ระบบ Advanced forward detection, ระบบ keyless entry และ start และกระจกประตูหลังปรับไฟฟ้า
เทคโนโลยี Boosterjet
ด้วยเทคโนโลยีนี้ ทำให้เครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร มีพละกำลังและแรงบิด เทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.7 – 1.8 ลิตร เลยทีเดียว โดยเครื่องยนต์นี้เป็นระบบ Direct Injection turbocharged (DITC) ผลิตกำลังออกมาได้สูงสุดที่ 111PS ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้มีขนาดที่เล็กมาก แต่สามารถรีดแรงบิดออกมาได้ถึง 170 Nm ที่ 2,000 – 3,500 รอบ ในเกียร์ manual
1.2-litre Dualjet
เครื่องยนต์ Dualjet ใช้ระบบ twin fuel injectors เพื่อการประหยัดน้ำมันที่มีประสิธิภาพมากขึ้น ซึ่งการใช้ระบบ Dualjet นี้ หัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกติดตั้งอยู่ใกล้กับลิ้นไอดี (inlet valves) ซึ่งทำให้ละอองของน้ำมันเชื้อเพลิงมีขนาดเล็กลง โดยสามารถผลิตพลังงานยออกมาได้ 90 PS และมีแรงบิดอยู่ที่ 120Nm ที่ 4,400 รอบ อัตราเร่งจาก 0 – 62 ไมล์/ชม. ที่ 11.9 วินาที สำหรับรุ่น SZ3 ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 12.6 วินาที สำหรับรุ่นที่ติดตั้งระบบ SHVS ALLGRIP
ระบบ SHVS – Smart Hybrid Vehicle by Suzuki
SHVS คือระบบ mild hybrid system ซึ่งมีขนาดกระทัดรัดและน้ำหนักเบา โดยจะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า Integrates Starter Generator (ISG) ซึ่งเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ทั้งไดชาร์จและไดสตาร์ทในตัวเดียวกัน มีหน้าที่แปลงพลังงานจลน์จากการเบรคเพื่อชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ ร่วมกับระบบสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ เพื่อเพิ่มระยะทางให้วิ่งได้ไกลขึ้น ซึ่งใน Swift ใหม่นี้ ระบบ SHVS จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ Boosterjet เป็นครั้งแรก ซึ่งมีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 97 กรัม/กม.
4WD (ALLGRIP AUTO)
Suzuki Swift มาพร้อมกับเทคโนโลยี ALLGRIP ‘AUTO’ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อัจฉริยะ ซึ่งจะมีให้เลือกเป็นออปขันเสริมในรุ่น SZ5 เครื่องยน 1.2 ลิตร ซึ่งควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติเต็มระบบ ซึ่งจะกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์ลงสู่ล้อทั้ง 4 ล้อ ให้เหมาะสมกับสภาพถนน
Advanced Forward Detection System
ในรุ่น SZ5 เป็นรุ่นแรกที่ใช้ระบบที่ล้ำสมัยอย่าง Advanced Forward Detection System ซึ่งได้รวมเอากล้องกับเซ็นเซอร์เลเซอร์ ไว้ด้วยกัน เพื่อสำหรับระบบความปลอดภัยชั้นสูง ซึ่งประกอบด้วย ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ (Autonomous Emergency Braking), ระบบเตือนการออกนอกช่องทางเดินรถ (Lane Departure Warning), และระบบปรับไฟสูง-ไฟต่ำ อัตโนมัติ (High-Beam Assist) และยังมีเรดาห์สำหรับระบบ Adaptive Cruise Control อีกด้วย
Dual Sensor Brake Support (DSBS)
เมื่อรถมีความเร็วอยู่ในช่วง 5 กม./ชม. ถึง 100 กม./ชม. และระบบระบุได้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดการชนด้านหน้า มันจะส่งสัญญาณเตือนทั้งภาพและเสียง และถ้าเกิดมีความเสี่ยงที่จะเกิดชนที่สูงมากและผู้ขับเหยีบเบรคกระทันหัน, ระบบก็ช่วยช่วยเพิ่มแรงเบรคเข้าไปด้วย และถ้าเกิดมีความเสียงสูงมากที่สุด ระบบก็จะทำการเบรคให้โดยอัตโนมัติ
จอ MID
ในรุ่น SZ5 มาพร้อมกับจอ Multi-Information Display แบบ LCD ความละเอียดสูง 4.2 นิ้ว ซึ่งสามารถแสดงข้อมูลต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน, ความเร็วเฉลี่ย, อัตราเร่ง, และการทำงานของเบรค และในรุ่น SHVS ก็จะแสดงการไหลเวียนของพลังงานอีกด้วย
ระบบเครื่องเสียงพร้อมระบบนำทางผ่านดาวเทียม
ระบบเครื่องเสียงของรุ่น SZ-T และ SZ5 จะมาพร้อมกับระบบ Smartphone Linkage Display Audio (SLDA) พร้อมจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสามารถใช้งานได้แม้ใส่ถุงมือ รบบนำทาง 3 มิติ ทำให้จำแนกสถานที่สำคัญต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และยังสามารถใช้แอปพลิเคชันต่างๆ บนหน้าจอผ่านระบบ MirrorLink ได้อีกด้วย ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay.