วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
CSRข่าว

โครงการ “สาทรโมเดล” ขยายสู่ “กทม.” นำองค์ความรู้จาก “โตโยต้า โมบิลิตี” แก้ปัญหาจราจรยั่งยืน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย พลตํารวจโท อํานวย น ิมมะโน รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พลตํารวจโท วิทยา ประยงค์พันธ์ุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะ วิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนายชินอาโอยามะเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี และนายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานร่วมคณะกรรมการโครงการคมนาคมอย่าง ยั่งยืน 2.0 กรุงเทพมหานคร และประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ร่วมแถลงข่าวในงาน “โครงการสาทรโมเดลขยายสู่กรุงเทพมหานคร” เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560 ณ ห้อง 2001 ชั้นที่ 20 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (อาคารจามจุรี10) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“สาทร โมเดล” เพื่อการแก้ปัญหาจราจรอย่างยั่งยืน
โครงการสาทรโมเดล ริเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2557 โดยสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ร่วมกับภาคเอกชน และได้รับความร่วมมือ และการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างต้นแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาชน เพื่อบรรเทาการจราจรที่ติดขัดบนถนนสาทร

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 โครงการได้มีการศึกษาทดลองดำเนินงาน โดยใช้มาตรการแก้ไขปัญหาจราจรอย่างเป็นระบบบนถนนสาทรและบริเวณโดยรอบ เช่น การริเริ่มรถบัสรับส่ง (Shuttle Bus) ที่โรงเรียนกรุงเทพ คริสเตียนวิทยาลัย รวมถึงมาตรการจอดแล้วจร (Park & Ride) พื้นที่จอดรถที่เชื่อมระบบขนส่งสาธารณะ และมาตรการควบคุมจัดการจราจร (Traffic Flow Management) บนถนนสาทร โดยได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในการวางพื้นฐานบริการคมนาคม ที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้สัญจรบนท้องถนน

ต่อมาในเดือนเมษายน 2558 มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี ได้สนับสนุนเงินทุนจำนวนประมาณ 110 ล้านบาทให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อดำเนินโครงการสาทรโมเดลให้มีขอบเขตการทำงานที่มากขึ้น โดยมุ่งยกระดับการดำเนินการทดลอง รวมถึงเชิญชวนให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ด้วยกันในโครงการนี้

เป็นครั้งแรกที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาจราจร แบบบูรณาการ ทำให้โครงการมีความคืบหน้าไปเป็นอย่างมาก โดยมีการกำหนดมาตรการในบริเวณถนนสาทร ซึ่งผลจากโครงการต้นแบบ พร้อมที่จะนำขยายสู่พื้นที่อื่นซึ่งเพิ่มความสุขในการเดินทางและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป

#มาตรการจอดแล้วจร : เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเดินทางสู่ถนนสาทร
โครงการจอดแล้วจร (Park & Ride) มาตรการเพิ่มทางเลือกสำหรับการเดินทางของประชาชนเข้าสู่พื้นที่ถนนสาทร จากความร่วมมือของสมาคมค้าปลีกไทย, สมาคมห้างสรรพสินค้าไทยและบริษัท นิปปอน ปาร์คกิ้ง ดีเวลลอบเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้แบ่งปันพื้นที่จอดรถ รวมถึงได้พัฒนาพื้นที่จอดรถขึ้นมาใหม่ ในทำเลที่เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าได้อย่างสะดวก ซึ่งในปัจจุบันมีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการนี้ 504 คน โดยเฉพาะจำนวนของผู้ใช้จุดจอดแล้วจรกรุงธนบุรีเฉลี่ย 280 คน ต่อวัน

สำหรับความเป็นไปได้ในการพัฒนาจุดจอดแล้วจรในอนาคต ทางโครงการเสนอให้ภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการจัดหาที่ดินสำหรับจัดทำจุดจอดแล้วจรในบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าที่จะเปิดในอนาคต โดยให้เอกชนมีส่วนร่วมลงทุนก่อสร้างและดำเนินการจุดจอดแล้วจรในที่ดินของรัฐ และได้รับการสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ รัฐควรมีหน่วยงานเจ้าภาพที่สามารถทำหน้าที่การพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นให้ให้มีจุดจอดแล้วจรเพียงพอโดยดำเนินการควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจอื่นในบริเวณเดียวกันด้วยเพื่อสร้างรายได้และช่วยลดภาระทางการเงินที่ต้องใช้ดำเนินการจุดจอดแล้วจร

#มาตรการรถรับส่ง : เพื่อลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลบริเวณถนนสาทร
ในโครงการฯได้พัฒนาการให้บริการรถโรงเรียน ( School Bus ) ที่มีความปลอดภัยสูงในรูปแบบ สถานีถึงโรงเรียน (Station to School) ทั้ง 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม และ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยผู้ปกครองมาส่งบุตรหลานตามจุดจอดที่กำหนดไว้ แล้วเดินทางต่อสู่โรงเรียนด้วยรถรับส่งที่โครงการจัดไว้ เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรหน้าโรงเรียน ประหยัดเวลาในการรับส่งบุตรหลาน อีกทั้งยังเป็นการฝึกเยาวชนให้มีความรับผิดชอบต่อตนเองในการเดินทางมาโรงเรียน

โครงการใช้รถร่วมกัน (ทางเดียวกันมาด้วยกัน) หรือ ACP Car Sharing ซึ่งมุ่งสนับสนุนให้ผู้ปกครองที่ปกติใช้รถยนต์ส่วนตัวในการมารับส่งบุตรหลาน เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ร่วมกันเดินทางมาโรงเรียน โดยโครงการได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ปกครองและคณะผู้บริหารโรงเรียน โดยได้มีการสำรวจข้อมูลที่อยู่อาศัย จัดกลุ่มนักเรียนที่อาศัยอยู่ใกล้กันหรือในแนวเส้นทางเดียวกัน และสร้างกลุ่มทางสังคมในการประชาสัมพันธ์และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เพื่อนนักเรียนและผู้ปกครองอื่นๆ

ทั้งสองมาตรการเป็นการช่วยลดจำนวนรถยนต์ที่มุ่งหน้าสู่โรงเรียนในช่วงเวลาเร่งด่วน โดยมีจำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมในโครงการทั้งสิ้น 117 คน สำหรับนักเรียนที่ใช้บริการรถโรงเรียนสามารถประหยัดเวลาการเดินทางของผู้ปกครองได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการขับรถยนต์มาส่งถึงหน้าโรงเรียนในตอนเช้า ซึ่งเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรได้ ปัจจุบันทั้งสองโรงเรียนมีจำนวนนักเรียนที่ใช้บริการรับส่งจากบ้านถึงโรงเรียนซึ่งบริหารงานโดยทางโรงเรียนเอง จำนวน 665 คนจากโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม และ 801 คน จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

#มาตรการเหลื่อมเวลาทำงาน : เพื่อกระจายปริมาณรถยนต์ในช่วงเวลาเร่งด่วน
มาตรการเหลื่อมเวลาทำงาน (Flexible Working Time) เพื่อกระจายปริมาณรถยนต์ที่เข้าสู่พื้นที่ถนนสาทรในชั่วโมงเร่งด่วน ด้วยความร่วมมือของบริษัทเอกชนที่มีสำนักงานในบริเวณถนนสาทร และสีลม โดยใช้ข้อมูลการเดินทางของพนักงานที่ได้จาก Linkflow Application เพื่อใช้ออกแบบวางแนวทางการใช้มาตรการเหลื่อมเวลาทำงานใน แต่ละบริษัทที่เข้าร่วม ซึ่งส่งผลดีโดยตรงต่อพนักงานคือ สามารถวางแผนการเดินทางเพื่อเข้าทำงานหรือเลิกงานได้เหมาะสม มีส่วนช่วยลดความแออัดบนท้องถนนลงได้ โดยมีพนักงานที่เข้าร่วมโครงการจำนวนกว่า 4,300 คน จาก 12 บริษัท

#มาตรการบริหารจัดการจราจร
1.การจัดช่องจราจรพิเศษ (Reversible Lane) ในช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้า โดยให้รถขาเข้าจากสะพานตากสินและจากถนนเจริญราษฎร์สามารถเข้าสู่ถนนสาทรเหนือโดยใช้ช่องทางพิเศษได้ 1 ช่องทางบนถนนสาทรใต้ทำให้สามารถระบายปริมาณรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.การจัดการจราจรบริเวณหน้าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ด้วยการหยุดรับส่งนักเรียนแล้วรีบเคลื่อนรถออกไป ( Kiss & Go ) โดยกำหนดจุดรับส่งอย่างเป็นระเบียบ พร้อมทั้งการสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทำให้ปัญหารถชะลอตัว เนื่องจากการเปลี่ยนช่องทางเพื่อรับส่งนักเรียนเบาบางลง การจราจรช่วงก่อนถึงหน้าโรงเรียนคล่องตัวขึ้น

3.การบริหารควบคุมสัญญาณไฟจราจรที่สี่แยกสาทร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สามารถรับทราบข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการกำหนดสัญญาณไฟจราจร ด้วยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น โดยคำนวณจากปริมาณจราจรในแต่ละช่วงเวลาแบบเรียวไทม์ และระยะแถวคอยในแต่ละทิศทาง ช่วยให้สามารถกำหนดสัญญาณไฟจราจรได้อย่างเหมาะสมกับสภาพจราจรและมีประสิทธิภาพสูงสุด

#ผลการดำเนินโครงการ “สาทรโมเดล”
จากผลการดำเนินงานพบว่า สภาพการจราจรบนถนนสาทรเหนือขาเข้าจากบริเวณสี่แยกสาทร ถึงสี่แยกวิทยุ ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้าคล่องตัวมากขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ยปริมาณการระบายรถเพิ่มขึ้น 422 คันต่อชั่วโมง หรือร้อยละ 12 ความยาวรถที่ติดสะสมจากสะพานตากสินไปจนถึงฝั่งธนบุรีลดลงจากปกติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ของความร่วมมือที่ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนสนับสนุนพร้อมกัน

#แผนที่นำทาง (Roadmap) จากโครงการ สาทรโมเดล
ตลอดระยะเวลา 3 ปี โครงการสาทรโมเดลได้ดำเนินมาตรการต่างๆ ผ่านความร่วมมือจากหน่วยงานราชการและเอกชน รวมถึงประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน จนได้ผลการดำเนินงานผ่านการเรียนรู้และวิเคระห์สรุปผลนำสู่แผนที่นำทาง(Roadmap) ตามมาตรการที่สำคัญ ได้แก่
1.สนับสนุนให้มีการทำแผนแม่บทการจอดแล้วจรและนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับการขยายแนวเส้นทางระบบขนส่งสาธารณะในอนาคต เพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ซึ่งมีศักยภาพเป็นจุดจอดรถ การลดอุปสรรคด้านข้อกฎหมายในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ รวมถึงการสร้างรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมจากการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐฯและเอกชน เพื่อให้ผู้เดินทางเปลี่ยนมาใช้การจอดแล้วจรอย่างมากขึ้นและแพร่หลาย

2.ปริมาณการจราจรที่มากช่วงเวลาเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนหนึ่งมาจากโรงเรียนใหญ่ที่ผู้ปกครองใช้รถยนต์ส่วนตัวรับส่งบุตรหลาน สภาพปัญหาการจราจรหน้าโรงเรียนจึงแตกต่างกันไปตามลักษณะการเดินทางของเด็กนักเรียน จึงจำเป็นต้องวางแนวทางที่เหมาะสมแต่ละโรงเรียน โดยเริ่มจากการสำรวจพฤติกรรมการเดินทางของนักเรียนและผู้ปกครอง วิเคราะห์เพื่อเสนอทางเลือกในการเดินทาง เช่นโครงการรถรับส่ง หรือโครงการใช้รถร่วมกัน จากนั้นกำหนดแนวทางปฏิบัติร่วมกับนักเรียนและผู้ปกครอง และประชาสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มผู้มีส่วนร่วม ตลอดจนปลูกฝังค่านิยมและจิตสำนึกอันดีงามแก่เยาวชน ทั้งนี้ต้องได้รับการสนับสนุนและเข้าร่วมอย่างจริงจังจากผู้บริหารโรงเรียน อันจะเป็นการช่วยลดปริมาณรถยนต์ในช่วงเวลาเร่งด่วนอย่างมีนัยสำคัญ

3.ส่งเสริมให้มีการจัดทำข้อตกลงโดยสมัครใจร่วมกันระหว่างภาครัฐฯและองค์กรหรือสมาคมธุรกิจ เพื่อส่งเสริมให้บริษัทสมาชิกแต่ละบริษัท นำมาตรการเหลื่อมเวลาทำงานไปประยุกต์ใช้กับพนักงานอย่างทั่วถึง รวมถึงการเพิ่มทางเลือกใหม่ในการเดินทางแก่พนักงาน

4.แนวทางสำหรับการบริหารจัดการจราจร ได้แก่
4.1 ขยายมาตรการต่างๆ เพื่อลดคอขวดบนท้องถนน ไปยังถนนสายหลักอื่นๆ พระรามสี่ เจริญกรุง สุขุมวิท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และอื่นๆ
4.2 สนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปรับปรุงการบริหารสัญญาณไฟจราจร ด้วยมาตรฐานการปฏิบัติงานซึ่งได้จากการรวบรวมองค์ความรู้และเทคนิควิธีการที่เหมาะสม
4.3 การผสานความร่วมมือภาครัฐฯ-เอกชน (PPP) ในการวางแผนและใช้ประโยชน์จากตัวชี้วัดปริมาณจราจร (เซ็นเซอร์)
4.4 จัดตั้ง ศูนย์การเรียนรู้นวัตกรรมวิศวกรรมจราจร เพื่อสนับสนุนงานแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร

จากการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก เมื่อวันที่ 9 กุมพาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินการของโครงการคมนาคมอย่างยั่งยืน 2.0 (Sustainable Mobility Project 2.0) สาทรโมเดล ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชน สถานศึกษา ภาคเอกชน และภาครัฐ ทำให้เกิดกระบวนการทำงานร่วมกันผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่สามารถลดความแออัดของพื้นที่ โดยรอบถนนสาทรได้เป็นอย่างดี รวมทั้ง ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการของแผนที่นำทางการขยายมาตรการที่ได้ดำเนินการในสาทรโมเดลไปยังพื้นที่ต่าง ๆ (Roadmap) ไปสู่การปฏิบัติ ได้แก่ การจัดการจราจร และการบริหารความต้องการการเดินทาง เพื่อขยายมาตรการที่ได้ดำเนินการในสาทรโมเดลไปยังพื้นที่ต่าง ๆ พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในการจัดตั้งองค์การด้านการสัญจรอย่างยั่งยืน (Sustainable Mobility Institute : SMI) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นหน่วยงานประสานความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนและดำเนินการตามแนวทางการขนส่งที่ยั่งยืนเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป

ใส่ความเห็น