มร. เวล ฟาร์กาลี กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส ในประเทศไทย และเชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทยกล่าวในงานประชุมซีอีโอ ฟอรัมซึ่งจัดโดยสถาบันยานยนต์ว่า จำนวนการผลิตและจำหน่ายที่มีปริมาณมากพอมีผลอย่างมากต่อต้นทุนและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในตลาดโลกหรือแม้แต่ตลาดในภูมิภาค
งานประชุมซีอีโอ ฟอรัมจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “วิสัยทัศน์สำหรับแผนแม่บทอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ประจำปี พ.ศ. 2560 – 2564” เพื่อกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า พร้อมร่วมกำหนดกรอบนโยบาย กลยุทธ์ของประเทศ มาตรการ และแผนการระยะยาวสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา
“ดังนั้นเพื่อให้ประเทศไทยและผู้ผลิตในกลุ่มอาเซียนมีโอกาสในตลาดส่งออกมากขึ้น แต่ละประเทศจะต้องเปิดตลาดของตนให้กว้างกว่าเดิมเพื่อเข้าสู่การแข่งขันบนเวทีโลก ขณะเดียวกันแต่ละประเทศต้องมีความเชี่ยวชาญในการผลิตผลิตภัณฑ์เฉพาะ”
จีเอ็ม และเชฟโรเลต ประเทศไทยให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท คือรถกระบะและรถเอสยูวี ซึ่งมีสัดส่วนยอดขาย 60 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯ ได้เปิดตัวโคโลราโด และเทรลเบลเซอร์ รุ่นใหม่ล่าสุดออกสู่ตลาดเมืองไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
“ในฐานะประเทศผู้ผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดและมีศักยภาพสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำและจะได้รับประโยชน์จากการบุกเบิกการค้าเสรีอย่างแน่นอน ซึ่งรวมถึงความก้าวหน้าของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ต้องการลดกำแพงการค้า และดำเนินมาตรฐานระดับโลกทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” มร. ฟาร์กาลีกล่าวเพิ่มเติม
สำหรับเทคโนโลยีใหม่อาทิรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (อีวี) มร. ฟาร์กาลีกล่าวว่า จีเอ็มประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า อาทิ เชฟโรเลต โบลต์ แต่ต้องได้รับการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิทธิพิเศษด้านภาษีสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทุกประเภทเพื่อส่งเสริมความต้องการของผู้บริโภค
บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นสนับสนุนเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต พร้อมกับหวังว่ารัฐบาลในทุกประเทศทั่วโลกจะสามารถกำหนดทิศทางที่ชัดเจนและโปร่งใสต่อการกำกับดูแลการปล่อยมลพิษและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ในอนาคต