ร่วมติดตามภารกิจ “ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป…บทพิสูจน์ระดับโลก” กับการทดสอบรถที่ไกลและหินที่สุด “กรุงเทพฯ – อิตาลี” ระยะเวลา 45 วัน 2 ทวีป ผ่าน 17 ประเทศ ระยะทางรวม 19,250 เพื่อพิสูจน์สมรรถนะและความทนทางของ Toyota Hilux Revo จากฐานการผลิตประเทศไทย
วันที่ 7 ของคาราวาน Toyota Hilux Revo Caravan Trip…World Prove เดินทางลึกเข้าไปในดินแดนฝั่งตะวันตกของจีน ปลายทางเมือง “จางเย่” เส้นทางวันนี้ได้พิสูจน์ความหนึบของช่วงล่างแบบเต็มๆ เพราะจะต้องไต่เข่าสูงชัน คดเคี้ยว และต้องวัดกับพฤติกรรมการขับขี่ของคนจีน ที่ไม่สนใจอะไรเลย ทั้งไม่กลัวตาย และไม่เปิดไฟเลี้ยว ที่สำคัญอยากจอดตรงไหนก็จอดไม่มีแอบขวาข้างทาง
ทางวันนี้เป็นถนนโลคัล มีด่านเก็บเงินด้วยครับ วันนี้สภาพอากาศค่อนข้างปิด อุณหภูมิหนาวเย็น เพราะอยู่บนที่สูง แต่ถ้าข้ามเทือกเขาสูงสองลูกวันนี้ไป คือ “ต๋าป่าซาน” และ “ฉี่เหลียงซาน” ในเขตอำเภอ “เหมิงหยวน” จะลงไปพื้นราบอีกฝั่ง ที่ต่ำลงมาก อากาศจะร้อนขึ้น
ในอาณาบริเวณของที่ราบสูงชิงไห่ ที่คาราวาน Toyota Hilux Revo กำลังวิ่งผ่านนั้น สภาพภูมิประเทศแห้งแร้ง มีฝุ่นทราย ผ้าปิดจมูกและแว่นกันแดดสำคัญมากๆ
วิ่งทางชนบทแบบนี้ได้บรรยากาศมากครับ ได้พบเห็นวิถีชีวิตคนท้องถิ่น อาคารบ้านเรือนจะมีกลิ่นไอความเป็นมุสลิมแบบจีน เป็นการรับรู้ใหม่ของพวกเราเลยครับ ที่คนไทยเราจะคุ้นกับศิลปะวัฒนธรรมแบบจีนผสมไทย
ขึ้นภูเขาวันนี้ ท้าทายสุดๆ ครับ อากาศปิด มีฝนตกตลอดทาง ถนนลื่น โค้งเยอะและไม่รับ ข้างล่างเป็นหุบเหว ส่วนแผงกั้นถนนก็ดีไซน์ดูไม่เซฟตี้เท่าใดนัก อุบัตเหตุรถเบียดกันมีให้เห็นตลอดทาง
ยางรถยนต์พวกเราเป็นซีรีส์มาตรฐานติดรถ 265/65R17 เติมลมยางตามคำแนะนำข้างประตู ช่วงล่างก็ตรวจดูแล้วครับว่าไม่ได้ดัดแปลงสภาพมาแต่อย่างใด ฉะนั้น คราวนี้จะได้รู้กันเสียทีสำหรับใครที่ยังคาใจเรื่องช่วงล่างของ “รีโว่”
เราข้ามเขากันด้วยความเร็วพอสมควรครับ เพราะระยะทางรวมวันนี้กว่า 500 กม. แต่มีโปรแกรมต้องแวะด้วยครับ โดยในช่วงที่อยู่บนภูเขา ได้ทดลองวิ่งทางฝุ่นแบบออฟโร้ดด้วย ตรงนี้แหละที่เป็นไฮไลต์ เหมือนได้ปลดปล่อยครับ หลังจากที่อยู่บนทางไฮย์เวย์แบบ “โตบนรถ” มาหลายวัน
ได้ขับรถข้ามลำธารหิน ที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งบนยอดภูเขา ลงไปสัมผัสน้ำเย็นเฉียบสดชื่นจริงๆ อุณหภูมิขุดนี้เป็นเลขหลักเดียวครับ 8-9 องศาเซลเซียส และมีฝนตกด้วย ฟินไปเลย
ขึ้นไปจุดสูงที่สุดของภูเขาคือ 3,970 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีจุดชมวิว มองลงไปเห็นถนนที่จะต้องวิ่งลง หวาดเสียวสุดๆ อะดรีนาลีนพุ่งพล่าน
ขาลงนี่เป็นไฮไลต์เลยครับ วิทยุสื่อสารไม่ห่างมือ คอยบอกทางกันครับ และคันหน้าๆ คอยแนะนำความเร็วและความลึกของโค้งด้วย เพราะถ้าพุงลงไปคงไม่ต้องคิดเก็บกู้ โยนดอกไม้ตามลงไปอย่างเดียว เพราะเหวสูงมาก โค้งก็ไม่เอียงรับ
ผ่านมาแล้วคิดย้อนไปยังหวาดเสียวครับ ผมพิสูจน์แล้วครับ พวงมาลัยคมและแม่น น้ำหนักกำลังดีขับได้ทั้งชายและหญิง ช่วงล่างผ่านครับ ทั้งนุ่มและหนึบ สำหรับรุ่นดับเบิลแค็บแหนบสั้น ถามนักขับที่ใช้ตัวสมาร์ทแค็บ ก็บอกว่าก็ยืนยันว่านิ่งและเอาอยู่ ยิ่งท้ายมีโหลดบรรทุกช่วยให้คุมรถง่ายขึ้นด้วย
ข้ามเทือกเขาสูงสองลูก ลงมาอีกฝั่ง บรรยากาศสองข้างทาง เปลี่ยนไปอีกโลกหนึ่งเลยครับ เหมือนกับมองโกเลียที่ผมไปเยือนเมื่อปีก่อน ทุ่งหญ้าโล่งกว้างไม่มีต้นไม้ใหญ่ สภาพภูมิประเทศแห้งแร้ง เป็นธรรมชาติของโซนนี้ครับที่ความชุ่มชื้นจากมหาสมุทรปีนขึ้นมาไม่ถึง เพราะติดเทือกเขาสูงของหลังคาโลก
วิ่งทางโลคัล 200 กม. อันตรายตลอดเส้นทาง เป็นเวลาเย็นที่ผู้คนเลิกงาน รถเยอะมาก รถการเกษตรก็มา บีบคั้นสุดๆ วิ่งกันจนถึง 2 ทุ่ม ในช่วงนี้ แต่ดวงอาทิตย์ยังสูงโด่ง ทำให้ขับง่าย และอย่างที่เคยบอกว่า ระบบห้ามล้อหรือเบรกต้องดีครับ ไม่เช่นนั้นไม่รอดแน่ๆ
ขึ้นทางด่วนสู่ “ด่านเจียยู่กวน” ป้อมปราการสุดท้ายของกำแพงเมืองจีน วันนี้เราไปไม่ทันครับ ต้องยกไปอีกวันหนึ่ง เพราะว่าไฮเวย์ช่วงนี้ขับยากมาก เพราะผ่านทะเลทราย และก็ได้เจอสิ่งที่อยากเจอ (ฮา) พายุทรายครับ คลุ้งมาแต่ไกล ต้นไม้ริมทางโย้กันเลย วิ่งผ่านต้องลดความเร็ว รักษาระยะห่าง แต่ถนนเส้นนี้วิ่งขนานทางรถไฟทั้งสองฝั่ง เวลารถไฟสวนมาสวยมากครับ
ถึงเจียยู่กวน 4 ทุ่มครับ มืดพอดี ทรหดทั้งรถและคนครับวันนี้ ลากกันมายาวๆ แต่แรงใจยังดีครับ คงเพราะ Stage1 ใกล้จบด้วย ความผูกพันของผู้ร่วมเดินทางเหนียวแน่น ทำให้พวกเราเริ่มรักกันและอยากสนุกด้วยกันจนถึงวันสุดท้ายของการขับ และข่าวจากเมืองไทยส่งมาว่านักขับ Stage 2 ขึ้นเครื่องบินตามมาแล้ว!
[ad name=”HTML-3″]