2 ชั่วโมง กับรถยนต์ 5 รุ่น นี่เป็นการขับรถในสนามที่สนุกมากๆครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะแบรนด์ที่ได้ขับ คือ MINI ซึ่งเป็นแบรนด์รถเล็กที่ว่ากันว่า ขับสนุกสนานมากที่สุดในโลกแบรนด์หนึ่งเลยทีเดียว นี่คือประสบการณ์ ที่ผมได้สัมผัสจากค่าย MINI
มินิ ประเทศไทย จัดการทดสอบในครั้งนี้ขึ้นที่สนามปทุมธานี สปีดเวย์ เพื่อสัมผัสสมรรถนะรถยนต์รุ่นต่างของมินิ แบรนด์รถยนต์จากประเทศอังกฤษ พร้อมกันนี้ ยังได้แนะนำ รถยนต์มินิ 3 รุ่นล่าสุด ได้แก่ มินิ คลับแมน, มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์ และมินิ คูเปอร์ เอสดี ออลโฟร์ คันทรีแมน พาร์คเลน
การทดสอบนั้น กำหนดเป็น 3 สเตชั่น หลักๆ เน้นการควบคุมรถในรูปแบบต่างๆ ตัวผมเองเริ่มต้นที่ สเตชั่น Figure 8 เป็นการขับรถวนเป็นเลขแปด เพื่อทดลองความแตกต่างระหว่างการขับขี่แบบเปิดระบบควบคุมช่วงล่าง DSC (Dynamic Stability Control) กับปิดระบบนี้ ว่าจะมีความแตกต่างกันอย่างไร
ผมประจำการที่ Mini Cooper S Countryman Park Lane เป็นคันแรก โดยเริ่มจากการวิ่งแบบปิดระบบ DSC ก่อนในรอบแรก ความเร็วที่ใช้ ก็ประมาณ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีการแตะเบรก ใช้การควบคุมพวงมาลัย และการผ่อนหนัก-เบา ที่คันเร่งเท่านั้น อย่างไรก็ดี คันที่ผมขับอยู่แม้จะปิดระบบรถก็ไม่ได้ออกอาการหวือหวา เสียอาการเท่าไหร่ เพราะอะไรรู้หรือไม่ครับ? ก็เพราะเจ้าคันนี้ เป็น คันทรีแมน ที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนะซิครับ ระบบขับเคลื่อนก็จะจัดการถ่ายเทน้ำหนักของตัวรถเอง แต่อาจจะมีอาการขืนๆ กันบ้าง เมื่อเราหักวงเลี้ยวตีวง
วนเป็นเลข 8 ได้สองรอบผมก็จอดรถกดสวิตซ์เปิดระบบ DSC แล้วเคลื่อนตัวลองดูความแตกต่าง อาการของรถ ถูกระบบ DSC เข้ามาควบคุมไว้ได้ ตัวรถไม่ค่อยเสียอาการ แต่ถามว่าต่างจากการขับแบบปิดระบบมากแค่ไหน ก็บอกได้เลย ว่ารถเก็บอาการได้ดีกว่า แต่ด้วยความที่รถรุ่นนี้มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบ DSC จึงไม่ได้เข้ามาช่วยถึงขนาดเห็นผลที่แตกต่างไปจากการวิ่งแบบปิดระบบ อีกจุดหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ ระบบ DSC ในรถยนต์มินิรุ่นใหม่ๆนี้ ถูกพัฒนาให้สามารถทำงานได้นุ่มนวลมากขึ้น เมื่อได้ลอง ผลที่ออกมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
มาขับแล้ว ผมจะไม่บอกคาแลตเตอร์ ของรถยนต์คันนี้ มันก็ยังไงอยู่ใช่ไหมละครับ MINI Cooper S Countryman Park Lane เป็นขาลุยจากค่ายมินิ ที่ไม่ได้ทิ้งความเป็นสปอร์ต ต้องบอกว่าเป็นสปอร์ตขับสี่ ช่วงล่างไม่แข็ง ไม่กระด้าง นุ่มนวลครับ แต่ตัวรถที่สูงกว่ามินิรุ่นอื่นๆ ก็มีอาการโยนเล็กๆ แฮนด์เดอร์ริ่งพวงมาลัย สำหรับผม ผมชอบน้ำหนักพวงมาลัยคันทรีแมนมากที่สุด ไม่เบามากจนผมรู้สึกขาดความเป็นชายชาตรี ควบคุมง่าย ซ้ายไปซ้าย ขวาไปขวา แม่นยำ เรียกว่าโดนใจครับ
มาถึงสเตชั่นที่ 2 ของผม ก็คือ ELK Test ก็เป็นสเตชั่นที่เน้นการควบคุมรถ จำลองสถานการณ์ว่าจะต้องหักลบอะไรสักอย่างจะเป็นสัตว์ จะเป็นต้นไม้ก็แล้วแต่ แต่ที่สนามจำลองด้วยซองกรวยยางอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ
ด่านนี้ผมประจำการที่ MINI Cooper Clubman รุ่นใหม่ล่าสุด เป็นรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ และยาวมากที่สุดในตระกูลมินิ รวมถึงการตกแต่งก็หรูหราที่สุดด้วยเช่นกัน และเอกลักษณ์ของรุ่นที่ก็คือประตูบานท้ายที่เปิดแบบตู้กับข้าว อีกอย่างก็คือ นี่เป็นมินิ ที่มีช่วงล่างนุ่มนวลมากที่สุดแล้วครับ
รอบแรกก็ใช้ความเร็วไม่มาก เพื่อดูระยะการหักหลบสิ่งกีดขวาง รอบต่อมาก็ใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ต่อมาก็เพิ่มความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง เพื่อให้เห็นความแตกต่างในการควบคุม สิ่งสำคัญของสเตชั่นนี้ก็อยู่ที่การคำนวณระยะจุดหักหลบให้สัมพันธ์กับการบังคับพวงมาลัย ความเร็วที่มากขึ้น เรายิ่งต้องมีสมาธิมากยิ่งขึ้นครับ แต่ที่เห็นภาพชัดเจนเลยก็คือ การเปลี่ยนมาเป็นโหมดสปอร์ต เพราะเมื่อปรับมาเป็นโหมดนี้ อัตราเร่งของตัวรถจะเร็วกว่าเดิม เผลอนิดเดียวก็แตะ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้ว และแม้ว่า Clubman จะเป็นรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูลมินิ การทดสอบในสเตชั่นนี้ Clubman ก็ผ่านไปได้ด้วยดี การที่มีฐานล้อที่ยาวกว่ารุ่นอื่น บวกกับน้ำหนักตัวรถที่บาลานซ์ได้อย่างสมดุล ทำให้รถผ่านอุปสรรคได้อย่างง่ายดายไม่แพ้ รุ่นอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า
Handling Course สเตชั่นสุดท้าย ที่จะมีโอกาสได้ลองขับมินิทุกรุ่น แต่น่าเสียดายกลุ่มของผม ลองไม่ครบ ของผมขาดไปหนึ่งคัน ก็คือ MINI Cooper John Works โฉมใหม่ ถึงไม่ได้ขับ แต่การเป็นรถรุ่นใหม่ จะไม่พูดถึงเลยก็คงจะไม่ได้
John Cooper Works โฉมใหม่ เป็นรถเล็กที่มีความแรงมากที่สุดในค่ายมินิ เครื่องยนต์ 4 สูบ ติดตั้งแบบ transverse พร้อมปรับปรุงระบบส่งกำลังให้ทำงานราบรื่นด้วยเทคโนโลยี มินิ ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ขับขี่ได้คล่องตัว รวดเร็ว John Cooper Works จัดเป็นรถยนต์ที่มีพละกำลังเครื่องยนต์มากที่สุด ที่มินิเคยทำตลาด โดยมีกำลังสูงสุดถึง 231 แรงม้า
นอกจากนี้ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์ ยังมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครด้วยระบบแสดงผล MINI Head-Up Display พร้อมคอนเทนต์พิเศษในรุ่นนี้เฉพาะ หลังคาและกระจกมองข้างสีแดง Chili Red ล้อแม็กอัลลอยน้ำหนักเบา จอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์ ขนาด 18 นิ้ว และแถบสีแต่งกระโปรงรถลายจอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์
ส่วนระบบช่วงล่างทำงานสอดประสานกับเครื่องยนต์อย่างสมบูรณ์แบบ ควบคู่ไปกับเบรกระดับสปอร์ตรุ่นใหม่จากเบรมโบ ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ เซอร์โวทรอนิก ที่ใช้ทั้งระบบไฟฟ้าและกลไกผสมผสานกัน และเทคโนโลยี Dynamic Stability Control ที่มีทั้งคุณสมบัติ Dynamic Traction Control (DTC) Electronic Differential Lock Control (EDLC) และ Dynamic Damper Control ติดตั้งมาในตัวเป็นมาตรฐาน
กลับมาที่การทดสอบแบบ Handling Course ในสเตชั่นนี้ก็จะได้ทดลองอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, การเบรกที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนรถหยุดนิ่ง และการขับขี่ควบคุมรถในรุ่นต่างๆ
เริ่มที่ Countryman เป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full Time ALL4 อัตราเร่งของคันนี้ มาแบบเรื่อยๆ ค่อยๆไต่ระดับ เพราะนอกจากจะเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อแล้ว ยังมาพร้อมขนาดตัวรถที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 และน่าน้อยใจที่มีแรงม้าน้อยที่สุดที่ 143 แรงม้า แน่นอนว่า จะให้ Countryman มาแข่งตัวเลขก็คงจะไม่ใช่ที่ สำหรับช่วงล่างและการควบคุม อยู่ในระดับที่ให้ความมั่นใจได้ดี อาจจะมีอาการโยนตัวบ้างเมื่อเทียบกับพี่น้องร่วมค่าย แต่โดยรวมก็ยังเป็นขาลุยมีเพอฟอร์แมนซ์ที่ดีอยู่ จุดที่เห็นได้ชัดอีกอย่างก็คือการเข้าโค้ง ที่รถจะมีอาการดื้อหน้า เนื่องจากมีระบบ All4 ทำงานอยู่ แม้จะเป็นระบบขับสี่ที่สามารถถ่ายกำลังไม่ยังล้อหน้า และล้อหลังได้อย่างต่อเนื่องตามสภาพถนนก็ตาม แต่ระบบนี้เอง ก็ยังช่วยควบคุมอาการของตัวรถได้ดี เมื่อตัวรถมีอาการเสียสมดุล
ต่อด้วยการวนมาที่ Clubman วิ่งแบบเดียวกัน เส้นทางเหมือนกัน แต่รถใหญ่ขึ้น แรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 192 แรงม้า รถแรงกว่า ก็ใช้ระยะเบรกมากกว่าครับ ช่วงล่างที่นุ่มนวล แม้จะตัวใหญ่ ฐานล้อยาว แต่จัดว่ายังเป็นรถยนต์มินิ ที่มีเอกลักษณ์ขับสนุก และเร้าใจ
คันที่สาม Hatch 3-Door Cooper S ด้วยแรงบิด 380 นิวตันเมตร 211 แรงม้า อาการหลังติดเบาะ คุณได้สัมผัสแน่ๆ จากมินิ 3 ประตูคันนี้ พวงมาลัยน้ำหนักเบากว่า 2 รุ่นก่อนหน้านี้ แต่ก็คมกว่าด้วยเช่นกัน ช่วงล่างเฟิร์ม เกาะถนนทุกย่านการขับขี่ เป็นรถที่แรง แต่คุมง่าย ให้อารมณ์วัยรุ่นมากๆครับ
ท้ายสุดสำหรับผม ก็เป็น 5 Door Cooper S กำลังเครื่องยนต์เท่ากับ Clubman เลยครับ 192 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร แต่ตัวรถสั่นกว่า ช่วงล่างไม่นุ่มนวลเท่า แต่หากจะเทียบกับรุ่น Hatch 3-Door ก็ต้องบอกว่า Hatch 3-Door ขับสนุกกว่า กระฉับกระเฉงกว่า ผมว่า 5 Door Cooper S อาจจะไม่ได้มีความชัดเจนในด้านของเอกลักษณ์ตัวรถ หรือการขับขี่น่ะ แต่สิ่งที่ รุ่นนี้มี คือความเป็นมินิ ไม่แรงจ๋า แต่ขับสนุก มองดูรู้เลยว่าเป็นมินิ เป็นรถ 5 ประตู ก็จัดว่ามีความอเนกประสงค์ เหตุผลเหล่านี่แหละ ที่อยู่ใน Mini 5 Door Cooper S
ทั้งหมด ก็คือประสบการณ์ที่ผมได้เข้าร่วมในกิจกรรม MINI Driving Experience 2016 ครั้งนี้ นอกจากจะได้ในเรื่องของการทบทวนทักษะการขับขี่ การได้มาขับรถยนต์ 4 รุ่น ที่เป็นรถยนต์มินิ ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เป็นอะไรที่สนุกสนานไม่น้อยเลยครับ รถยุโรป คันเล็ก ขับสนุก นี่แหละครับ คือ MINI