วันจันทร์, พฤศจิกายน 25, 2024
DriveSpecial Report

MINI Driving Experience 2016 : ถึงใจกับสมรรถนะ “มินิ” พร้อมการเผยโฉม “Mini Cooper John Works” โฉมใหม่

2 ชั่วโมง กับรถยนต์ 5 รุ่น นี่เป็นการขับรถในสนามที่สนุกมากๆครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้  เพราะแบรนด์ที่ได้ขับ คือ MINI ซึ่งเป็นแบรนด์รถเล็กที่ว่ากันว่า ขับสนุกสนานมากที่สุดในโลกแบรนด์หนึ่งเลยทีเดียว นี่คือประสบการณ์ ที่ผมได้สัมผัสจากค่าย MINI

MINI Driving Experience 2016_ (101)

มินิ ประเทศไทย จัดการทดสอบในครั้งนี้ขึ้นที่สนามปทุมธานี สปีดเวย์ เพื่อสัมผัสสมรรถนะรถยนต์รุ่นต่างของมินิ แบรนด์รถยนต์จากประเทศอังกฤษ พร้อมกันนี้ ยังได้แนะนำ รถยนต์มินิ 3 รุ่นล่าสุด ได้แก่ มินิ คลับแมน, มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์ และมินิ คูเปอร์ เอสดี ออลโฟร์ คันทรีแมน พาร์คเลน

MINI Driving Experience 2016_ (100)

การทดสอบนั้น กำหนดเป็น 3 สเตชั่น หลักๆ เน้นการควบคุมรถในรูปแบบต่างๆ ตัวผมเองเริ่มต้นที่ สเตชั่น Figure 8 เป็นการขับรถวนเป็นเลขแปด เพื่อทดลองความแตกต่างระหว่างการขับขี่แบบเปิดระบบควบคุมช่วงล่าง DSC (Dynamic Stability Control) กับปิดระบบนี้ ว่าจะมีความแตกต่างกันอย่างไร

MINI Driving Experience 2016_ (90)

ผมประจำการที่ Mini Cooper S Countryman Park Lane เป็นคันแรก โดยเริ่มจากการวิ่งแบบปิดระบบ DSC ก่อนในรอบแรก ความเร็วที่ใช้ ก็ประมาณ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีการแตะเบรก ใช้การควบคุมพวงมาลัย และการผ่อนหนัก-เบา ที่คันเร่งเท่านั้น อย่างไรก็ดี คันที่ผมขับอยู่แม้จะปิดระบบรถก็ไม่ได้ออกอาการหวือหวา เสียอาการเท่าไหร่ เพราะอะไรรู้หรือไม่ครับ? ก็เพราะเจ้าคันนี้ เป็น คันทรีแมน ที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนะซิครับ ระบบขับเคลื่อนก็จะจัดการถ่ายเทน้ำหนักของตัวรถเอง แต่อาจจะมีอาการขืนๆ กันบ้าง เมื่อเราหักวงเลี้ยวตีวง

วนเป็นเลข 8 ได้สองรอบผมก็จอดรถกดสวิตซ์เปิดระบบ DSC แล้วเคลื่อนตัวลองดูความแตกต่าง อาการของรถ ถูกระบบ DSC เข้ามาควบคุมไว้ได้ ตัวรถไม่ค่อยเสียอาการ แต่ถามว่าต่างจากการขับแบบปิดระบบมากแค่ไหน ก็บอกได้เลย ว่ารถเก็บอาการได้ดีกว่า แต่ด้วยความที่รถรุ่นนี้มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบ DSC จึงไม่ได้เข้ามาช่วยถึงขนาดเห็นผลที่แตกต่างไปจากการวิ่งแบบปิดระบบ อีกจุดหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ ระบบ DSC ในรถยนต์มินิรุ่นใหม่ๆนี้ ถูกพัฒนาให้สามารถทำงานได้นุ่มนวลมากขึ้น เมื่อได้ลอง ผลที่ออกมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

MINI Driving Experience 2016_ (92)

มาขับแล้ว ผมจะไม่บอกคาแลตเตอร์ ของรถยนต์คันนี้ มันก็ยังไงอยู่ใช่ไหมละครับ MINI Cooper S Countryman Park Lane เป็นขาลุยจากค่ายมินิ ที่ไม่ได้ทิ้งความเป็นสปอร์ต ต้องบอกว่าเป็นสปอร์ตขับสี่ ช่วงล่างไม่แข็ง ไม่กระด้าง นุ่มนวลครับ แต่ตัวรถที่สูงกว่ามินิรุ่นอื่นๆ ก็มีอาการโยนเล็กๆ แฮนด์เดอร์ริ่งพวงมาลัย สำหรับผม ผมชอบน้ำหนักพวงมาลัยคันทรีแมนมากที่สุด ไม่เบามากจนผมรู้สึกขาดความเป็นชายชาตรี ควบคุมง่าย ซ้ายไปซ้าย ขวาไปขวา แม่นยำ เรียกว่าโดนใจครับ

MINI Driving Experience 2016_ (69)

มาถึงสเตชั่นที่ 2 ของผม ก็คือ ELK Test ก็เป็นสเตชั่นที่เน้นการควบคุมรถ จำลองสถานการณ์ว่าจะต้องหักลบอะไรสักอย่างจะเป็นสัตว์ จะเป็นต้นไม้ก็แล้วแต่ แต่ที่สนามจำลองด้วยซองกรวยยางอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ

ด่านนี้ผมประจำการที่ MINI Cooper Clubman รุ่นใหม่ล่าสุด เป็นรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ และยาวมากที่สุดในตระกูลมินิ รวมถึงการตกแต่งก็หรูหราที่สุดด้วยเช่นกัน และเอกลักษณ์ของรุ่นที่ก็คือประตูบานท้ายที่เปิดแบบตู้กับข้าว อีกอย่างก็คือ นี่เป็นมินิ ที่มีช่วงล่างนุ่มนวลมากที่สุดแล้วครับ

รอบแรกก็ใช้ความเร็วไม่มาก เพื่อดูระยะการหักหลบสิ่งกีดขวาง รอบต่อมาก็ใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ต่อมาก็เพิ่มความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง เพื่อให้เห็นความแตกต่างในการควบคุม สิ่งสำคัญของสเตชั่นนี้ก็อยู่ที่การคำนวณระยะจุดหักหลบให้สัมพันธ์กับการบังคับพวงมาลัย ความเร็วที่มากขึ้น เรายิ่งต้องมีสมาธิมากยิ่งขึ้นครับ แต่ที่เห็นภาพชัดเจนเลยก็คือ การเปลี่ยนมาเป็นโหมดสปอร์ต เพราะเมื่อปรับมาเป็นโหมดนี้ อัตราเร่งของตัวรถจะเร็วกว่าเดิม เผลอนิดเดียวก็แตะ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้ว และแม้ว่า Clubman จะเป็นรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูลมินิ การทดสอบในสเตชั่นนี้ Clubman ก็ผ่านไปได้ด้วยดี การที่มีฐานล้อที่ยาวกว่ารุ่นอื่น บวกกับน้ำหนักตัวรถที่บาลานซ์ได้อย่างสมดุล ทำให้รถผ่านอุปสรรคได้อย่างง่ายดายไม่แพ้ รุ่นอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า

MINI Driving Experience 2016_ (39)

Handling Course สเตชั่นสุดท้าย ที่จะมีโอกาสได้ลองขับมินิทุกรุ่น แต่น่าเสียดายกลุ่มของผม ลองไม่ครบ ของผมขาดไปหนึ่งคัน ก็คือ MINI Cooper John Works โฉมใหม่ ถึงไม่ได้ขับ แต่การเป็นรถรุ่นใหม่ จะไม่พูดถึงเลยก็คงจะไม่ได้

John Cooper Works โฉมใหม่ เป็นรถเล็กที่มีความแรงมากที่สุดในค่ายมินิ เครื่องยนต์ 4 สูบ ติดตั้งแบบ transverse พร้อมปรับปรุงระบบส่งกำลังให้ทำงานราบรื่นด้วยเทคโนโลยี มินิ ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ขับขี่ได้คล่องตัว รวดเร็ว John Cooper Works จัดเป็นรถยนต์ที่มีพละกำลังเครื่องยนต์มากที่สุด ที่มินิเคยทำตลาด โดยมีกำลังสูงสุดถึง 231 แรงม้า

2016 Mini Cooper (12)

นอกจากนี้ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์ ยังมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครด้วยระบบแสดงผล MINI Head-Up Display พร้อมคอนเทนต์พิเศษในรุ่นนี้เฉพาะ หลังคาและกระจกมองข้างสีแดง Chili Red ล้อแม็กอัลลอยน้ำหนักเบา จอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์ ขนาด 18 นิ้ว และแถบสีแต่งกระโปรงรถลายจอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์

2016 Mini Cooper (13)

ส่วนระบบช่วงล่างทำงานสอดประสานกับเครื่องยนต์อย่างสมบูรณ์แบบ ควบคู่ไปกับเบรกระดับสปอร์ตรุ่นใหม่จากเบรมโบ ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ เซอร์โวทรอนิก ที่ใช้ทั้งระบบไฟฟ้าและกลไกผสมผสานกัน และเทคโนโลยี Dynamic Stability Control ที่มีทั้งคุณสมบัติ Dynamic Traction Control (DTC)  Electronic Differential Lock Control (EDLC) และ Dynamic Damper Control ติดตั้งมาในตัวเป็นมาตรฐาน

MINI Driving Experience 2016_ (51)

กลับมาที่การทดสอบแบบ Handling Course ในสเตชั่นนี้ก็จะได้ทดลองอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, การเบรกที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนรถหยุดนิ่ง และการขับขี่ควบคุมรถในรุ่นต่างๆ

2016 Mini Cooper (19)

เริ่มที่ Countryman เป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full Time ALL4 อัตราเร่งของคันนี้ มาแบบเรื่อยๆ ค่อยๆไต่ระดับ เพราะนอกจากจะเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อแล้ว ยังมาพร้อมขนาดตัวรถที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 และน่าน้อยใจที่มีแรงม้าน้อยที่สุดที่ 143 แรงม้า แน่นอนว่า จะให้ Countryman มาแข่งตัวเลขก็คงจะไม่ใช่ที่ สำหรับช่วงล่างและการควบคุม อยู่ในระดับที่ให้ความมั่นใจได้ดี อาจจะมีอาการโยนตัวบ้างเมื่อเทียบกับพี่น้องร่วมค่าย แต่โดยรวมก็ยังเป็นขาลุยมีเพอฟอร์แมนซ์ที่ดีอยู่ จุดที่เห็นได้ชัดอีกอย่างก็คือการเข้าโค้ง ที่รถจะมีอาการดื้อหน้า เนื่องจากมีระบบ All4 ทำงานอยู่ แม้จะเป็นระบบขับสี่ที่สามารถถ่ายกำลังไม่ยังล้อหน้า และล้อหลังได้อย่างต่อเนื่องตามสภาพถนนก็ตาม แต่ระบบนี้เอง ก็ยังช่วยควบคุมอาการของตัวรถได้ดี เมื่อตัวรถมีอาการเสียสมดุล

MINI Driving Experience 2016_ (82)

ต่อด้วยการวนมาที่ Clubman วิ่งแบบเดียวกัน เส้นทางเหมือนกัน แต่รถใหญ่ขึ้น แรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 192 แรงม้า รถแรงกว่า ก็ใช้ระยะเบรกมากกว่าครับ ช่วงล่างที่นุ่มนวล แม้จะตัวใหญ่ ฐานล้อยาว แต่จัดว่ายังเป็นรถยนต์มินิ ที่มีเอกลักษณ์ขับสนุก และเร้าใจ

MINI Driving Experience 2016_ (66)

คันที่สาม Hatch 3-Door Cooper S ด้วยแรงบิด 380 นิวตันเมตร 211 แรงม้า อาการหลังติดเบาะ คุณได้สัมผัสแน่ๆ จากมินิ 3 ประตูคันนี้ พวงมาลัยน้ำหนักเบากว่า 2 รุ่นก่อนหน้านี้ แต่ก็คมกว่าด้วยเช่นกัน ช่วงล่างเฟิร์ม เกาะถนนทุกย่านการขับขี่ เป็นรถที่แรง แต่คุมง่าย ให้อารมณ์วัยรุ่นมากๆครับ

MINI Driving Experience 2016_ (130)

ท้ายสุดสำหรับผม ก็เป็น 5 Door Cooper S กำลังเครื่องยนต์เท่ากับ Clubman เลยครับ 192 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร แต่ตัวรถสั่นกว่า ช่วงล่างไม่นุ่มนวลเท่า แต่หากจะเทียบกับรุ่น Hatch 3-Door ก็ต้องบอกว่า Hatch 3-Door ขับสนุกกว่า กระฉับกระเฉงกว่า ผมว่า 5 Door Cooper S อาจจะไม่ได้มีความชัดเจนในด้านของเอกลักษณ์ตัวรถ หรือการขับขี่น่ะ แต่สิ่งที่ รุ่นนี้มี คือความเป็นมินิ ไม่แรงจ๋า แต่ขับสนุก มองดูรู้เลยว่าเป็นมินิ เป็นรถ 5 ประตู ก็จัดว่ามีความอเนกประสงค์ เหตุผลเหล่านี่แหละ ที่อยู่ใน Mini 5 Door Cooper S

ทั้งหมด ก็คือประสบการณ์ที่ผมได้เข้าร่วมในกิจกรรม MINI Driving Experience 2016 ครั้งนี้ นอกจากจะได้ในเรื่องของการทบทวนทักษะการขับขี่ การได้มาขับรถยนต์ 4 รุ่น ที่เป็นรถยนต์มินิ ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เป็นอะไรที่สนุกสนานไม่น้อยเลยครับ รถยุโรป คันเล็ก ขับสนุก นี่แหละครับ คือ MINI 

MINI Driving Experience 2016_ (22)

MINI Driving Experience 2016_ (48)

MINI Driving Experience 2016_ (106)

MINI Driving Experience 2016_ (5)

MINI Driving Experience 2016_ (6)

ใส่ความเห็น